ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 34 / 1อ่านอรรถกถา 34 / 766อรรถกถา เล่มที่ 34 ข้อ 780อ่านอรรถกถา 34 / 791อ่านอรรถกถา 34 / 970
อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์
นิกเขปกัณฑ์ อุปาทานโคจฉกะ

               อรรถกถานิกเขปกัณฑ์               
               ว่าด้วยอุปาทานโคจฉกะ               
               ในอุปาทานนิทเทส พึงทราบวินิจฉัยดังนี้.
               ที่ชื่อว่ากามุปาทาน เพราะอรรถว่าย่อมยึดมั่นซึ่งกามกล่าวคือวัตถุ. กามนั้นด้วย เป็นอุปาทานด้วย แม้เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ากามุปาทาน.
               บทว่า อุปาทานํ (อุปาทาน) แปลว่า ความยึดมั่น. เพราะอุปศัพท์ในคำนี้มีอรรถว่ามั่น เหมือนในคำทั้งหลายมีอุปายาสะ (ความคับแค้น) อุปกัฏฺฐะ (ใกล้ถึงแล้ว) เป็นต้น.๑-
____________________________
๑- อุปายาสะ อุป + อายาส อุป มั่น อายาส ความลำบาก กฏฺฐ ใกล้แล้ว อุป + กฎฺฐ ใกล้ถึงแล้ว.

               อนึ่ง ทิฏฐินั้นด้วย เป็นอุปาทานด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าทิฏฐุปาทาน หรือว่า ที่ชื่อว่าทิฏฐุปาทาน เพราะอรรถว่าย่อมยึดมั่นซึ่งทิฏฐิ. เพราะทิฏฐิหลังย่อมยึดมั่นทิฏฐิต้น เหมือนในประโยคมีอาทิว่า สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ (อัตตาและโลกเที่ยง) ดังนี้. อนึ่ง ที่ชื่อว่าสีลัพพตุปาทาน เพราะอรรถว่าย่อมยึดมั่นศีลพรต. ศีลพรตนั้นด้วย เป็นอุปาทานด้วย แม้เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าสีลัพพตุปาทาน.
               จริงอยู่ คำว่า โคศีลและโควัตรเป็นต้น เป็นอุปาทานเองทีเดียว เพราะยึดมั่นว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีด้วยศีลพรตอย่างนี้.
               อนึ่ง ชื่อว่าวาทะ เพราะอรรถว่าเป็นเหตุกล่าว. ที่ชื่อว่าอุปาทาน เพราะอรรถว่าเป็นเหตุยึดมั่น.
               ย่อมกล่าว หรือยึดมั่นอะไร?
               การกล่าวและการยึดมั่นอัตตาของตน ชื่อว่าอัตตวาทุปาทาน. อีกอย่างหนึ่ง เหตุสักแต่วาทะว่าเป็นอัตตาอย่างเดียว ชื่อว่าอัตตวาทุปาทาน เพราะอรรถว่าเป็นเหตุยึดมั่นว่าเป็นอัตตา.

               ว่าด้วยนิทเทสกามุปาทาน               
               แม้ในคำว่า โย กาเมสุ กามฉนฺโท (ความพอใจคือความใคร่ในกามทั้งหลายอันใด) นี้ วัตถุกามทั้งหลายและกิเลสกามทั้งหลายทรงประสงค์เอากามทั้งหลายโดยไม่เหลือ เพราะฉะนั้น ความพอใจคือความใคร่ในวัตถุกามทั้งหลาย ชื่อว่ากามุปาทาน ในอธิการนี้ ฉะนั้น กามุปาทานนั้นจึงสำเร็จ (แก่ปุถุชนเป็นต้น) แม้แก่พระอนาคามี แต่กามราคะอันเป็นวัตถุของกามคุณ ๕ ย่อมไม่มีแก่พระอนาคามีนั้น.

               ว่าด้วยนิทเทสทิฏฐุปาทาน               
               พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสทิฏฐุปาทาน ต่อไป.
               บทว่า นตฺถิ ทินฺนํ (ทานที่ให้แล้วไม่มีผล) ความว่า เขาย่อมรู้ว่า ชื่อว่าทานที่บุคคลให้แล้วมีอยู่ คือใครๆ อาจเพื่อให้อะไรๆ แก่ใครๆ ก็ได้ แต่ย่อมถือว่า ผลวิบากของทานไม่มี ดังนี้.
               บทว่า นตฺถิ ยิฏฺฐํ (การบูชาไม่มีผล) ความว่า การบูชาใหญ่ (มหายาโค) ตรัสเรียกว่า ยิฏฺฐํ (การบูชา) คือย่อมรู้ว่า การบูชานั้น ใครๆ อาจบูชาได้ แต่ย่อมถือว่า ผลวิบากของการบูชาไม่มี ดังนี้.
               บทว่า หุตํ (การบวงสรวง) ความว่า กิริยาที่บูชาและนำของมาให้เพื่อมงคล บุคคลย่อมรู้กิริยาอันนั้นว่า ใครๆ ก็อาจทำได้ แต่ว่าเขาย่อมถือว่า ผลวิบากของกิริยามงคลนั้นไม่มีผล.
               ในบทว่า สุกฏทุกฺกฏานํ (ผลวิบากของกรรมดีกรรมชั่ว) นี้ กุศลกรรมบถ ๑๐ ชื่อว่ากรรมที่ทำดี. อกุศลกรรมบถ ๑๐ ชื่อว่ากรรมที่ทำชั่ว. บุคคลย่อมรู้ถึงความที่กรรมดีกรรมชั่วเหล่านั้นมีอยู่ แต่ย่อมยึดถือว่า ผลวิบากไม่มี ดังนี้.
               บทว่า นตฺถิ อยํ โลโก (โลกนี้ไม่มี) ความว่า บุคคลย่อมถือโลกนี้ด้วยคิดว่า บุคคลผู้ตั้งอยู่ในโลกอื่นของบุคคลผู้ทำกรรมดีกรรมชั่วเหล่านั้น ไม่มี ดังนี้.
               นตฺถิ ปรโลโกติ อิธ โลเก ฐิโต ปรโลกํ "นตฺถี"ติ คณฺหาติ.
               บทว่า นตฺถิ ปรโลโก (โลกอื่นไม่มี) ความว่า บุคคลผู้อยู่ในโลกนี้ ย่อมถือเอาซึ่งโลกอื่นว่า ไม่มี.
               บทว่า นตฺถิ มาตา นตฺถิ ปิตา (มารดาไม่มี บิดาไม่มี) ความว่า เขาย่อมรู้ความที่มารดาบิดามีอยู่ แต่เขาถือว่า ผลวิบากอะไรๆ ด้วยการทำอุปการะในมารดาบิดาเหล่านั้น ไม่มี ดังนี้.
               บทว่า นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา (โอปปาติกสัตว์ไม่มี) คือ เขาถือว่า สัตว์ผู้จุติและปฏิสนธิไม่มี.
               บทว่า สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา (ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ) ความว่า เขาย่อมถือว่า สมณะและพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้ดำเนินไปสู่อนุโลมปฏิปทา ไม่มีในโลก.
               บทว่า เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติ (สมณพราหมณ์ที่กระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้ ไม่มีในโลก) ความว่า ย่อมถือว่า ชื่อว่าสัพพัญญูพุทธะผู้สามารถรู้โลกนี้และโลกอื่นด้วยญาณอันวิเศษยิ่งโดยตนเท่านั้น ไม่มี ดังนี้.
               ก็อุปาทานเหล่านี้ควรเพื่อนำมาโดยลำดับกิเลสบ้าง โดยลำดับมรรคบ้าง.
               ว่าโดยลำดับกิเลส กามุปาทานอันมรรคทั้ง ๔ ย่อมประหาณ อุปาทาน ๓ ที่เหลือ อันโสดาปัตติมรรคย่อมประหาณ.
               ว่าโดยลำดับแห่งมรรค โสดาปัตติมรรคย่อมประหาณทิฏฐุปาทานเป็นต้น มรรคทั้ง ๔ ย่อมประหาณกามุปาทาน.
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ นิกเขปกัณฑ์ อุปาทานโคจฉกะ จบ.
อ่านอรรถกถา 34 / 1อ่านอรรถกถา 34 / 766อรรถกถา เล่มที่ 34 ข้อ 780อ่านอรรถกถา 34 / 791อ่านอรรถกถา 34 / 970
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=34&A=6823&Z=6903
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=53&A=11010
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=53&A=11010
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๕๗
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :