ปัญหาปุจฉกะ
[๒๒๓] อริยสัจ ๔ คือ
๑. ทุกขอริยสัจ
๒. ทุกขสมุทยอริยสัจ
๓. ทุกขนิโรธอริยสัจ
๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ติกมาติกาปุจฉา ทุกมาติกาปุจฉา
บรรดาอริยสัจ ๔ อริยสัจไหนเป็นกุศล อริยสัจไหนเป็นอกุศล อริยสัจ
ไหนเป็นอัพยากฤต ฯลฯ อริยสัจไหนเป็นสรณะ อริยสัจไหนเป็นอรณะ
ติกมาติกาวิสัชนา
[๒๒๔] สมุทยสัจเป็นอกุศล มัคคสัจเป็นกุศล นิโรธสัจเป็นอัพยากฤต
ทุกขสัจเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพพยากฤตก็มี สัจจะ ๒ เป็นสุขเวทนา-
*สัมปยุตก็มี เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี นิโรธสัจ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็น
สุขเวทนาสัมปยุต แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุต
ทุกขสัจ เป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นอทุกขม-
*สุขเวทนาสัมปยุตก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต แม้เป็นทุกข-
*เวทนาสัมปยุต แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุต สัจจะ ๒ เป็นวิปากธัมมธรรม
นิโรธสัจ เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรม ทุกขสัจ เป็นวิบากก็มี เป็นวิปาก-
*ธัมมธรรมก็มี เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรมก็มี สมุทยสัจ เป็นอนุปาทินนุ-
*ปาทานิยะ สัจจะ ๒ เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะ ทุกขสัจ เป็นอุปาทินนุปาทา-
*นิยะก็มี เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี สมุทยสัจ เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะ
สัจจะ ๒ เป็นอสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะ ทุกขสัจ เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี
เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี สมุทยสัจ เป็นสวิตักกสวิจาระ นิโรธสัจ
เป็นอวิตักกาวิจาระ มัคคสัจ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี
เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี ทุกขสัจ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี เป็นอวิตักกวิจารมัตตะ
ก็มี เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสวิตักกสวิจาระ แม้เป็น
อวิตักกวิจารมัตตะ แม้เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี สัจจะ ๒ เป็นปีติสหคตะก็มี
เป็นสุขสหคตะก็มี เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี นิโรธสัจ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็น
ปีติสหคตะ แม้เป็นสุขสหคตะ แม้เป็นอุเปกขาสหคตะ ทุกขสัจ เป็นปีติสหคตะ
ก็มี เป็นสุขสหคตะก็มี เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็น
ปีติสหคตะ แม้เป็นสุขสหคตะ แม้เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี สัจจะ ๒ เป็น
เนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะ สมุทยสัจ เป็นทัสสนปหาตัพพะก็มี เป็นภาวนา-
*ปหาตัพพะก็มี ทุกขสัจ เป็นทัสสนปหาตัพพะก็มี เป็นภาวนาปหาตัพพะก็มี
เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพะก็มี สัจจะ ๒ เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหา-
*ตัพพเหตุกะ สมุทยสัจ เป็นทัสสนปหาตัพพเหตุกะก็มี เป็นภาวนาปหาตัพพ-
*เหตุกะก็มี ทุกขสัจ เป็นทัสสนปหาตัพพเหตุกะก็มี เป็นภาวนาปหาตัพพเหตุกะ
ก็มี เป็นเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี สมุทยสัจ เป็นอาจยคามี
มัคคสัจ เป็นอปจยคามี นิโรธสัจ เป็นเนวาจยคามินาปจยคามี ทุกขสัจ เป็น
อาจยคามีก็มี เป็นเนวาจยคามินาปจยคามีก็มี มัคคสัจ เป็นเสกขะ สัจจะ ๓
เป็นเนวเสกขนาเสกขะ สมุทยสัจ เป็นปริตตะ สัจจะ ๒ เป็นอัปปมาณะ
ทุกขสัจ เป็นปริตตะก็มี เป็นมหัคคตะก็มี นิโรธสัจ เป็นอนารัมมณะ มัคคสัจ
เป็นอัปปมาณารัมมณะ สมุทยสัจ เป็นปริตตารัมมณะก็มี เป็นมหัคคตารัมมณะ
ก็มี ไม่เป็นอัปปมาณารัมมณะ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปริตตารัมมณะ แม้เป็น
มหัคคตารัมมณะก็มี ทุกขสัจ เป็นปริตตารัมมณะก็มี เป็นมหัคคตารัมมณะก็มี
เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปริตตารัมมณะ แม้เป็น
มหัคคตารัมมณะ แม้เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี สมุทยสัจ เป็นหีนะ สัจจะ ๒ เป็น
ปณีตะ ทุกขสัจ เป็นหีนะก็มี เป็นมัชฌิมะก็มี นิโรธสัจ เป็นอนิยตะ มัคคสัจ
เป็นสัมมัตตนิยตะ สัจจะ ๒ เป็นมิจฉัตตนิยตะก็มี เป็นอนิยตะก็มี นิโรธสัจ
เป็นอนารัมมณะ สมุทยสัจ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นมัคคารัมมณะ แม้เป็น
มัคคเหตุกะ แม้เป็นมัคคาธิปติ มัคคสัจ ไม่เป็นมัคคารัมมณะ เป็นมัคคเหตุกะ
ก็มี เป็นมัคคาธิปติก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นมัคคเหตุกะ แม้เป็นมัคคาธิปติก็มี
ทุกขสัจ เป็นมัคคารัมมณะก็มี ไม่เป็นมัคคเหตุกะ เป็นมัคคาธิปติก็มี กล่าว
ไม่ได้ว่า แม้เป็นมัคคารัมมณะ แม้เป็นมัคคาธิปติก็มี สัจจะ ๒ เป็นอุปปันนะ
ก็มี เป็นอนุปปันนะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปปาที นิโรธสัจ กล่าวไม่ได้ว่า
แม้เป็นอุปปันนะ แม้เป็นอนุปปันนะ แม้เป็นอุปปาที ทุกขสัจ เป็นอุปปันนะ
ก็มี เป็นอนุปปันนะก็มี เป็นอุปปาทีก็มี สัจจะ ๓ เป็นอดีตก็มี เป็นอนาคต
ก็มี เป็นปัจจุบันก็มี นิโรธสัจ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอดีต แม้เป็นอนาคต
แม้เป็นปัจจุบัน นิโรธสัจ เป็นอนารัมมณะ มัคคสัจ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็น
อตีตารัมมณะ แม้เป็นอนาคตารัมมณะ แม้เป็นปัจจุปปันนารัมมณะ สัจจะ ๒
เป็นอตีตารัมมณะก็มี เป็นอนาคตารัมมณะก็มี เป็นปัจจุปปันนารัมมณะก็มี กล่าว
ไม่ได้ว่า แม้เป็นอตีตารัมมณะ แม้เป็นอนาคตารัมมณะ แม้เป็นปัจจุปปันนา-
*รัมมณะก็มี นิโรธสัจ เป็นพหิทธา สัจจะ ๓ เป็นอัชฌัตตะก็มี เป็นพหิทธา
ก็มี เป็นอัชฌัตตพหิทธาก็มี นิโรธสัจ เป็นอนารัมมณะ มัคคสัจ เป็นพหิทธา-
*รัมมณะ สมุทยสัจ เป็นอัชฌัตตารัมมณะก็มี เป็นพหิทธารัมมณะก็มี เป็น
อัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี ทุกขสัจ เป็นอัชฌัตตารัมมณะก็มี เป็นพหิทธารัมมณะ
ก็มี เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอัชฌัตตารัมมณะ แม้
เป็นพหิทธารัมมณะ แม้เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี สัจจะ ๓ เป็นอนิทัสสน-
*อัปปฏิฆะ ทุกขสัจ เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆะก็มี เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆะก็มี
เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆะก็มี
ทุกมาติกาวิสัชนา
๑. เหตุโคจฉกวิสัชนา
[๒๒๕] สมุทยสัจ เป็นเหตุ นิโรธสัจ เป็นนเหตุ สัจจะ ๒ เป็น
เหตุก็มี เป็นนเหตุก็มี สัจจะ ๒ เป็นสเหตุกะ นิโรธสัจ เป็นอเหตุกะ
ทุกขสัจ เป็นสเหตุกะก็มี เป็นอเหตุกะก็มี สัจจะ ๒ เป็นเหตุสัมปยุต นิโรธสัจ
เป็นเหตุวิปปยุต ทุกขสัจ เป็นเหตุสัมปยุตก็มี เป็นเหตุวิปปยุตก็มี สมุทยสัจ
เป็นเหตุสเหตุกะ นิโรธสัจ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นเหตุสเหตุกะ แม้เป็น
สเหตุกนเหตุ มัคคสัจ เป็นเหตุสเหตุกะก็มี เป็นสเหตุกนเหตุก็มี ทุกขสัจ
เป็นเหตุสเหตุกะก็มี เป็นสเหตุกนเหตุก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นเหตุสเหตุกะ
แม้เป็นสเหตุกนเหตุ สมุทยสัจ เป็นเหตุเหตุสัมปยุต นิโรธสัจ กล่าวไม่ได้ว่า
แม้เป็นเหตุเหตุสัมปยุต แม้เป็นเหตุสัมปยุตตนเหตุ มัคคสัจ เป็นเหตุเหตุ-
*สัมปยุตก็มี เป็นเหตุสัมปยุตตนเหตุก็มี ทุกขสัจ เป็นเหตุเหตุสัมปยุตก็มี เป็น
เหตุสัมปยุตตนเหตุก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นเหตุเหตุสัมปยุต แม้เป็นเหตุ-
*สัมปยุตตนเหตุก็มี นิโรธสัจ เป็นนเหตุ เป็นอเหตุกะ สมุทยสัจ กล่าวไม่ได้
ว่า แม้เป็นนเหตุสเหตุกะ แม้เป็นนเหตุอเหตุกะ มัคคสัจ เป็นนเหตุสเหตุกะ
ก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นนเหตุสเหตุกะ แม้เป็นนเหตุอเหตุกะก็มี ทุกขสัจ
เป็นนเหตุสเหตุกะก็มี เป็นนเหตุอเหตุกะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นนเหตุ-
*สเหตุกะ แม้เป็นนเหตุอเหตุกะก็มี
๒. จูฬันตรทุกวิสัชนา
[๒๒๖] สัจจะ ๓ เป็นสัปปัจจยะ นิโรธสัจ เป็นอัปปัจจยะ สัจจะ ๓
เป็นสังขตะ นิโรธสัจ เป็นอสังขตะ สัจจะ ๓ เป็นอนิทัสสนะ ทุกขสัจ
เป็นสนิทัสสนะก็มี เป็นอนิทัสสนะก็มี สัจจะ ๓ เป็นอัปปฏิฆะ ทุกขสัจ
เป็นสัปปฏิฆะก็มี เป็นอัปปฏิฆะก็มี สัจจะ ๓ เป็นรูป ทุกขสัจ เป็นรูปก็มี
เป็นอรูปก็มี สัจจะ ๒ เป็นโลกิยะ สัจจะ ๒ เป็นโลกุตตระ สัจจะ ๔ เป็น
เกนจิวิญเญยยะ เป็นเกนจินวิญเญยยะ
๓. อาสวโคจฉกวิสัชนา
[๒๒๗] สมุทยสัจ เป็นอาสวะ สัจจะ ๒ เป็นโนอาวสวะ ทุกขสัจ
เป็นอาสวะก็มี เป็นโนอาสวะก็มี สัจจะ ๒ เป็นสาสวะ สัจจะ ๒ เป็นอนาสวะ
สมุทยสัจ เป็นอาสวสัมปยุต สัจจะ ๒ เป็นอาสววิปปยุต ทุกขสัจ เป็นอาสว-
*สัมปยุตก็มี เป็นอาสววิปปยุตก็มี สมุทยสัจ เป็นอาสวสาสวะ สัจจะ ๒
กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอาสวสาสวะ แม้เป็นสาสวโนอาสวะ ทุกขสัจ เป็น
อาสวสาสวะก็มี เป็นสาสวโนอาสวะก็มี สมุทยสัจ เป็นอาสวอาสวสัมปยุต
สัจจะ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอาสวอาสวสัมปยุต แม้เป็นอาสวสัมปยุตตโนอาสวะ
ทุกขสัจ เป็นอาสวอาสวสัมปยุตก็มี เป็นอาสวสัมปยุตตโนอาสวะก็มี กล่าว
ไม่ได้ว่า แม้เป็นอาสวอาสวสัมปยุต แม้เป็นอาสวสัมปยุตตโนอาสวะก็มี สัจจะ ๒
เป็นอาสววิปปยุตตอนาสวะ สมุทยสัจ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอาสววิปปยุตต-
*สาสวะ แม้เป็นอาสววิปปยุตตอนาสวะ ทุกขสัจ เป็นอาสววิปปยุตตสาสวะก็มี
กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอาสววิปปยุตตสาสวะ แม้เป็นอาสววิปปยุตตอนาสวะก็มี
๔. สัญโญชนโคจฉกวิสัชนา
[๒๒๘] สมุทยสัจ เป็นสัญโญชนะ สัจจะ ๒ เป็นโนสัญโญชนะ
ทุกขสัจ เป็นสัญโญชนะก็มี เป็นโนสัญโญชนะก็มี สัจจะ ๒ เป็นสัญโญชนิยะ
สัจจะ ๒ เป็นอสัญโญชนิยะ สมุทยสัจ เป็นสัญโญชนสัมปยุต สัจจะ ๒
เป็นสัญโญชนวิปปยุต ทุกขสัจ เป็นสัญโญชนสัมปยุตก็มี เป็นสัญโญชนวิปปยุต
ก็มี สมุทยสัจ เป็นสัญโญชนสัญโญชนิยะ สัจจะ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็น
สัญโญชนสัญโญชนิยะ แม้เป็นสัญโญชนิยโนสัญโญชนะ ทุกขสัจ เป็น
สัญโญชนสัญโญชนิยะก็มี เป็นสัญโญชนิยโนสัญโญชนะก็มี สมุทยสัจ เป็น
สัญโญชนสัญโญชนสัมปยุต สัจจะ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสัญโญชนสัญโญชน-
*สัมปยุต แม้เป็นสัญโญชนสัมปยุตตโนสัญโญชนะ ทุกขสัจ เป็นสัญโญชน-
*สัญโญชนสัมปยุตก็มี เป็นสัญโญชนสัมปยุตตโนสัญโญชนะก็มี กล่าวไม่ได้
ว่า แม้เป็นสัญโญชนสัญโญชนสัมปยุต แม้เป็นสัญโญชนสัมปยุตตโนสัญโญชนะ
ก็มี สัจจะ ๒ เป็นสัญโญชนวิปปยุตตอสัญโญชนิยะ สมุทยสัจ กล่าวไม่ได้
ว่า แม้เป็นสัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยะ แม้เป็นสัญโญชนวิปปยุตตอสัญโญ-
*ชนิยะ ทุกขสัจ เป็นสัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็น
สัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยะ แม้เป็นสัญโญชนวิปปยุตตอสัญโญชนิยะก็มี
๕. คันถโคจฉกวิสัชนา
[๒๒๙] สมุทยสัจ เป็นคันถะ สัจจะ ๒ เป็นโนคันถะ ทุกขสัจ
เป็นคันถะก็มี เป็นโนคันถะก็มี สัจจะ ๒ เป็นคันถนิยะ สัจจะ ๒ เป็น
เป็นอคันถนิยะ สัจจะ ๒ เป็นคันถวิปปยุต สัจจะ ๒ เป็นคันถสัมปยุตก็มี
เป็นคันถวิปปยุตก็มี สมุทยสัจ เป็นคันถคันถนิยะ สัจจะ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า
แม้เป็นคันถคันถนิยะ แม้เป็นคันถนิยโนคันถะ ทุกขสัจ เป็นคันถคันถนิยะก็มี
เป็นคันถนิยโนคันถะก็มี สมุทยสัจ เป็นคันถคันถสัมปยุต กล่าวไม่ได้ว่า แม้
เป็นคันถคันถสัมปยุต แม้เป็นคันถสัมปยุตตโนคันถะก็มี สัจจะ ๒ กล่าวไม่ได้
ว่า แม้เป็นคันถคันถสัมปยุต แม้เป็นคันถสัมปยุตตโนคันถะ ทุกขสัจ เป็น
คันถคันถสัมปยุตก็มี เป็นคันถสัมปยุตตโนคันถะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็น
คันถคันถสัมปยุต แม้เป็นคันถสัมปยุตตโนคันถะก็มี สัจจะ ๒ เป็นคันถ-
*วิปปยุตตอคันถนิยะ สัจจะ ๒ เป็นคันถวิปปยุตตคันถนิยะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า
แม้เป็นคันถวิปปยุตตคันถนิยะ แม้เป็นคันถวิปปยุตตอคันถนิยะก็มี
๖,๗,๘. โอฆโคจฉกาทิวิสัชนา
[๒๓๐] สมุทยสัจ เป็นโอฆะ ฯลฯ สมุทยสัจ เป็นโยคะ ฯลฯ
สมุทยสัจ เป็นนีวรณะ สัจจะ ๒ เป็นโนนีวรณะ ทุกขสัจ เป็นนีวรณะก็มี เป็น
โนนีวรณะก็มี สัจจะ ๒ เป็นนีวรณิยะ สัจจะ ๒ เป็นอนีวรณิยะ สมุทยสัจ
เป็นนีวรณสัมปยุต สัจจะ ๒ เป็นนีวรณวิปปยุต ทุกขสัจ เป็นนีวรณสัมปยุตก็มี
เป็นนีวรณวิปปยุตก็มี สมุทยสัจ เป็นนีวรณนีวรณิยะ สัจจะ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า
แม้เป็นนีวรณนีวรณิยะ แม้เป็นนีวรณิยโนนีวรณะ ทุกขสัจ เป็นนีวรณนีวรณิยะก็มี
เป็นนีวรณิยโนนีวรณะก็มี สมุทยสัจ เป็นนีวรณนีวรณสัมปยุต สัจจะ ๒ กล่าว
ไม่ได้ว่า แม้เป็นนีวรณนีวรณสัมปยุต แม้เป็นนีวรณสัมปยุตตโนนีวรณะ ทุกขสัจ
เป็นนีวรณนีวรณสัมปยุตก็มี เป็นนีวรณสัมปยุตตโนนีวรณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า
แม้เป็นนีวรณนีวรณสัมปยุต แม้เป็นนีวรณสัมปยุตตโนนีวรณะก็มี สัจจะ ๒
เป็นนีวรณวิปปยุตตอนีวรณิยะ สมุทยสัจ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นนีวรณวิปปยุตต-
*นีวรณิยะ แม้เป็นนีวรณวิปปยุตตอนีวรณิยะ ทุกขสัจ เป็นนีวรณวิปปยุตต-
*นีวรณิยะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นนีวรณวิปปยุตตนีวรณิยะ แม้เป็นนีวรณ-
*วิปปยุตตอนีวรณิยะก็มี
๙. ปรามาสโคจฉกวิสัชนา
[๒๓๑] สัจจะ ๓ เป็นโนปรามาสะ ทุกขสัจ เป็นปรามาสะก็มี เป็น
โนปรามาสะก็มี สัจจะ ๒ เป็นปรามัฏฐะ สัจจะ ๒ เป็นอปรามัฏฐะ สัจจะ ๒
เป็นปรามาสวิปปยุต สมุทยสัจ เป็นปรามาสสัมปยุตก็มี เป็นปรามาสวิปปยุตก็มี
ทุกขสัจ เป็นปรามาสสัมปยุตก็มี เป็นปรามาสวิปปยุตก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็น
ปรามาสสัมปยุต แม้เป็นปรามาสวิปปยุตก็มี สมุทยสัจ กล่าวไม่ได้ว่า เป็น
ปรามาสปรามัฏฐะ เป็นปรามัฏฐโนปรามาสะ สัจจะ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็น
ปรามาสปรามัฏฐะ แม้เป็นปรามัฏฐโนปรามาสะ ทุกขสัจ เป็นปรามาสปรามัฏฐะ
ก็มี เป็นปรามัฏฐโนปรามาสะก็มี สัจจะ ๒ เป็นปรามาสวิปปยุตตอปรามัฏฐะ
สัจจะ ๒ เป็นปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปรามาส-
*วิปปยุตตปรามัฏฐะ แม้เป็นปรามาสวิปปยุตตอปรามัฏฐะก็มี
๑๐. มหันตรทุกวิสัชนา
[๒๓๒] สัจจะ ๒ เป็นสารัมมณะ นิโรธสัจ เป็นอนารัมมณะ
ทุกขสัจ เป็นสารัมมณะก็มี เป็นอนารัมมณะก็มี สัจจะ ๓ เป็นโนจิตตะ ทุกขสัจ
เป็นจิตตะก็มี เป็นโนจิตตะก็มี สัจจะ ๒ เป็นเจตสิกะ นิโรธสัจ เป็นอเจตสิกะ
ทุกขสัจ เป็นเจตสิกะก็มี เป็นอเจตสิกะก็มี สัจจะ ๒ เป็นจิตตสัมปยุต นิโรธสัจ
เป็นจิตตวิปปยุต ทุกขสัจ เป็นจิตตสัมปยุตก็มี เป็นจิตตวิปปยุตก็มี กล่าวไม่ได้
ว่า แม้เป็นจิตตสัมปยุต แม้เป็นจิตตวิปปยุตก็มี สัจจะ ๒ เป็นจิตตสังสัฏฐะ
นิโรธสัจ เป็นจิตตวิสังสัฏฐะ ทุกขสัจ เป็นจิตตสังสัฏฐะก็มี เป็นจิตตวิสังสัฏฐะ-
*ก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นจิตตสังสัฏฐะ แม้เป็นจิตตวิสังสัฏฐะก็มี
สัจจะ ๒ เป็นจิตตสมุฏฐานะ นิโรธสัจ เป็นโนจิตตสมุฏฐานะ ทุกขสัจ เป็น
จิตตสมุฏฐานะก็มี เป็นโนจิตตสมุฏฐานะก็มี สัจจะ ๒ เป็นจิตตสหภู นิโรธสัจ
เป็นโนจิตตสหภู ทุกขสัจ เป็นจิตตสหภูก็มี เป็นโนจิตตสหภูก็มี สัจจะ ๒
เป็นจิตตานุปริวัตติ นิโรธสัจ เป็นโนจิตตานุปริวัตติ ทุกขสัจ เป็นจิตตานุปริวัตติ
ก็มี เป็นโนจิตตานุปริวัตติก็มี สัจจะ ๒ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานะ นิโรธสัจ
เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานะ ทุกขสัจ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานะก็มี เป็น
โนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานะก็มี สัจจะ ๒ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภู นิโรธสัจ
เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภู ทุกขสัจ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภูก็มี
เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภูก็มี สัจจะ ๒ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานานุปริ-
*วัตติ นิโรธสัจ เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานานุปริวัตติ ทุกขสัจ เป็นจิตตสังสัฏฐ-
*สมุฏฐานานุปริวัตติก็มี เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานานุปริวัตติก็มี สัจจะ ๓ เป็น
พาหิระ ทุกขสัจ เป็นอัชฌัตติกะก็มี เป็นพาหิระก็มี สัจจะ ๓ เป็นนอุปาทา
ทุกขสัจ เป็นอุปาทาก็มี เป็นนอุปาทาก็มี สัจจะ ๓ เป็นอนุปาทินนะ ทุกขสัจ
เป็นอุปาทินนะก็มี เป็นอนุปาทินนะก็มี
๑๑. อุปาทานโคจฉกวิสัชนา
[๒๓๓] สมุทยสัจ เป็นอุปาทานะ สัจจะ ๒ เป็นนอุปาทานะ ทุกขสัจ
เป็นอุปาทานะก็มี เป็นนอุปาทานะก็มี สัจจะ ๒ เป็นอุปาทานิยะ สัจจะ ๒
เป็นอนุปาทานิยะ สัจจะ ๒ เป็นอุปาทานวิปปยุต สัจจะ ๒ เป็นอุปาทาน-
*สัมปยุตก็มี เป็นอุปาทานวิปปยุตก็มี สมุทยสัจ เป็นอุปาทานอุปาทานิยะ สัจจะ ๒
กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปาทานอุปาทานิยะ แม้เป็นอุปาทานิยโนอุปาทานะ ทุกขสัจ
เป็นอุปาทานอุปาทานิยะก็มี เป็นอุปาทานิยโนอุปาทานะก็มี สมุทยสัจ เป็น
อุปาทานอุปาทานสัมปยุตก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปาทานอุปาทานสัมปยุต
แม้เป็นอุปาทานสัมปยุตตโนอุปาทานะก็มี สัจจะ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็น
อุปาทานอุปาทานสัมปยุต แม้เป็นอุปาทานสัมปยุตตโนอุปาทานะ ทุกขสัจ เป็น
อุปาทานอุปาทานสัมปยุตก็มี เป็นอุปาทานสัมปยุตตโนอุปาทานะก็มี กล่าวไม่ได้
ว่า แม้เป็นอุปาทานอุปาทานสัมปยุต แม้เป็นอุปาทานสัมปยุตตโนอุปาทานะก็มี
สัจจะ ๒ เป็นอุปาทานวิปปยุตตอนุปาทานิยะ สัจจะ ๒ เป็นอุปาทานวิปปยุตต-
*อุปาทานิยะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปาทานวิปปยุตตอุปาทานิยะ แม้เป็น
อุปาทานวิปปยุตตอนุปาทานิยะก็มี
๑๒. กิเลสโคจฉกวิสัชนา
[๒๓๔] สมุทยสัจ เป็นกิเลสะ สัจจะ ๒ เป็นโนกิเลสะ ทุกขสัจ
เป็นกิเลสะก็มี เป็นโนกิเลสะก็มี สัจจะ ๒ เป็นสังกิเลสิกะ สัจจะ ๒ เป็น
อสังกิเลสิกะ สมุทยสัจ เป็นสังกิลิฏฐะ สัจจะ ๒ เป็นอสังกิลิฏฐะ ทุกขสัจ
เป็นสังกิลิฏฐะก็มี เป็นอสังกิลิฏฐะก็มี สมุทยสัจ เป็นกิเลสสัมปยุต สัจจะ ๒
เป็นกิเลสวิปปยุต ทุกขสัจ เป็นกิเลสสัมปยุตก็มี เป็นกิเลสวิปปยุตตก็มี
สมุทยสัจ เป็นกิเลสสังกิเลสิกะ สัจจะ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลสสังกิเล-
*สิกะ แม้เป็นสังกิเลสิกโนกิเลสิกะ ทุกขสัจ เป็นกิเลสสังกิเลสิกะก็มี เป็น
สังกิเลสิกโนกิเลสะก็มี สมุทยสัจ เป็นกิเลสสังกิลิฏฐะ สัจจะ ๒ กล่าว
ไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลสสังกิลิฏฐะ แม้เป็นสังกิลิฏฐโนกิเลสะ ทุกขสัจ เป็น
กิเลสสังกิลิฏฐะก็มี เป็นสังกิลิฏฐโนกิเลสะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลส-
*สังกิลิฏฐะ แม้เป็นสังกิลิฏฐโนกิเลสะก็มี สมุทยสัจ เป็นกิเลสกิเลสสัมปยุต
สัจจะ ๒ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลสกิเลสสัมปยุต แม้เป็นกิเลสสัมปยุตต-
*โนกิเลสะ ทุกขสัจ เป็นกิเลสกิเลสสัมปยุตก็มี เป็นกิเลสสัมปยุตตโนกิเลสะ
ก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลสกิเลสสัมปยุต แม้เป็นกิเลสสัมปยุตตโนกิเลสะ
ก็มี สัจจะ ๒ เป็นกิเลสวิปปยุตตอสังกิเลสิกะ สมุทยสัจ กล่าวไม่ได้ว่า
แม้เป็นกิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกะ แม้เป็นกิเลสวิปปยุตตอสังกิเลสิกะ ทุกขสัจ
เป็นกิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกะ
แม้เป็นกิเลสวิปปยุตตอสังกิเลสิกะก็มี
๑๓. ปิฏฐิทุกวิสัชนา
[๒๓๕] สัจจะ ๒ เป็นนทัสสนปหาตัพพะ สัจจะ ๒ เป็นทัสสน-
*ปหาตัพพะก็มี เป็นนทัสสนปหาตัพพะก็มี สัจจะ ๒ เป็นนภาวนาปหาตัพพะ
สัจจะ ๒ เป็นภาวนาปหาตัพพะก็มี เป็นนภาวนาปหาตัพพะก็มี สัจจะ ๒ เป็น
นทัสสนปหาตัพพเหตุกะ สัจจะ ๒ เป็นทัสสนปหาตัพพเหตุกะก็มี เป็น
นทัสสนปหาตัพพเหตุกะก็มี สัจจะ ๒ เป็นนภาวนาปหาตัพพเหตุกะ สัจจะ ๒
เป็นภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี เป็นนภาวนาปหาตัพพเหตุกะก็มี สมุทยสัจ เป็น
สวิตักกะ นิโรธสัจ เป็นอวิตักกะ สัจจะ ๒ เป็นสวิตักกะก็มี เป็นอวิตักกะก็มี
สมุทยสัจ เป็นสวิจาระ นิโรธสัจ เป็นอวิจาระ สัจจะ ๒ เป็นสวิจาระก็มี เป็น
อวิจาระก็มี นิโรธสัจ เป็นอัปปีติกะ สัจจะ ๓ เป็นสัปปีติกะก็มี เป็นอัปปีติกะ
ก็มี นิโรธสัจ เป็นนปีติสหคตะ สัจจะ ๓ เป็นปีติสหคตะก็มี เป็นนปีติสหคตะ
ก็มี นิโรธสัจ เป็นนสุขสหคตะ สัจจะ ๓ เป็นสุขสหคตะก็มี เป็นนสุขสหคตะ
ก็มี นิโรธสัจ เป็นนอุเปกขาสหคตะ สัจจะ ๓ เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี เป็น
นอุเปกขาสหคตะก็มี สมุทยสัจ เป็นกามาวจร สัจจะ ๒ เป็นนกามาวจร
ทุกขสัจ เป็นกามาวจรก็มี เป็นนกามาวจรก็มี สัจจะ ๓ เป็นนรูปาวจร ทุกขสัจ
เป็นรูปาวจรก็มี เป็นนรูปาวจรก็มี สัจจะ ๓ เป็นนอรูปาวจร ทุกขสัจ เป็น
อรูปาวจรก็มี เป็นนอรูปาวจรก็มี สัจจะ ๒ เป็นปริยาปันนะ สัจจะ ๒ เป็น
อปริยาปันนะ มัคคสัจ เป็นนิยยานิกะ สัจจะ ๓ เป็นอนิยยานิกะ มัคคสัจ เป็น
นิยตะ นิโรธสัจ เป็นอนิยตะ สัจจะ ๒ เป็นนิยตะก็มี เป็นอนิยตะก็มี สัจจะ ๒
เป็นสอุตตระ สัจจะ ๒ เป็นอนุตตระ สมุทยสัจ เป็นสรณะ สัจจะ ๒ เป็น
อรณะ ทุกขสัจ เป็นสรณะก็มี เป็นอรณะก็มี ฉะนี้แล
ปัญหาปุจฉกะ จบ
สัจจวิภังค์ จบบริบูรณ์
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ บรรทัดที่ ๓๐๘๒-๓๓๒๓ หน้าที่ ๑๓๒-๑๔๒.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=35&A=3082&Z=3323&pagebreak=0
ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3], [4]
อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=35&siri=18
ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=35&i=223
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :-
[223-235] http://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=35&item=223&items=13
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :-
http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=54&A=3117
The Pali Tipitaka in Roman :-
[223-235] http://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=35&item=223&items=13
The Pali Atthakatha in Roman :-
http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=54&A=3117
สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕
http://84000.org/tipitaka/read/?index_35
อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :-
https://suttacentral.net/vb4/en/thittila#pts-s215
บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง.
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]