บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ | |
|
|
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ _____________ ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๑. มหาวรรค ๑. ปุคคลกถา ว่าด้วยบุคคล ๑. สุทธสัจฉิกัฏฐะ ว่าด้วยสภาวะที่แท้จริงล้วนๆ๑- ๑. อนุโลมปัจจนีกะ อนุโลมปัญจกะ [๑] สกวาที๒- ถามว่า ท่านหยั่งรู้บุคคล๓- ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์๔- ใช่ไหม๕- ปรวาที๖- ตอบว่า ใช่๗- @เชิงอรรถ : @๑ หมายถึงตอนที่ว่าด้วยการซักถามถึงปรมัตถธรรมโดยไม่เกี่ยวข้องกับโอกาส กาล และอวัยวะ (องค์ธรรมย่อย @เช่น ขันธ์ ๕) @๒ สกวาที หมายถึงพระเถระนิกายเถรวาท ซึ่งยึดหลักคำสอนเดิม ไม่มีการประยุกต์เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมหรือตัด @ทอนพระพุทธพจน์ตามมติที่ประชุมสังคายนาครั้งที่ ๑ ซึ่งมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน (วิมติ.ฏีกา ๑/๓๘) @๓ บุคคล ในลัทธิของปรวาทีหมายถึงอัตตา สัตตะ หรือชีวะ (อภิ.ปญฺจ.อ. ๑/๑๒๙) @๔ สัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แยกเป็น ๒ คำ คือ สัจฉิกัฏฐะ + ปรมัตถะ คำว่า สัจฉิกัฏฐะ แปลว่า สภาวะที่แท้จริง @เป็นได้ทั้งสมมติสัจและปรมัตถสัจ ส่วนคำว่า ปรมัตถะ แปลว่า สภาวะขั้นสูงสุด เป็นปรมัตถสัจอย่างเดียว @ได้แก่ สภาวธรรม ๕๗ คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ซึ่งก็หมายถึง ปรมัตถธรรม ๔ คือ @จิต เจตสิก รูป นิพพาน แต่ในที่นี้ ปรวาทีใช้คำ ๒ คำนี้ในความหมายรวมกันว่า ความจริงแท้ขั้นสูงสุด @(อภิ.ปญฺจ.อ. ๑/๑๒๙-๑๓๐, องฺ.เอกก.อ. ๑/๑๗๐/๘๖-๘๗) @๕ คำถามนี้มีใจความว่า ท่านเห็นว่า บุคคลมีอยู่จริงใช่ไหม @๖ ปรวาที หมายถึงภิกษุในนิกายอื่นนอกจากนิกายเถรวาท ในที่นี้หมายถึงภิกษุในนิกายวัชชีปุตตกะ @นิกายสมิติยะ และพวกอัญเดียรถีย์ที่ถือสัสสตวาทะ (อภิ.ปญฺจ.อ. ๑/๑๒๙) @๗ เพราะมีความเห็นว่า บุคคลมีอยู่อย่างเที่ยงแท้ถาวร {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๗ หน้า : ๑}
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [๑. มหาวรรค]
๑. ปุคคลกถา
สก. สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ท่านหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดย สัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้นใช่ไหม๑- ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น๒- สก. ท่านจงรับนิคคหะ๓- ดังต่อไปนี้ หากท่านหยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ดังนั้น ท่านจึงควรยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐ- ปรมัตถ์นั้น ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้นว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้า หยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น คำนั้นของท่านผิด อนึ่ง หากท่านไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้า หยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า ข้าพเจ้าหยั่งรู้ บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้นว่า ข้าพเจ้า ยอมรับว่า ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาว- ธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ นั้น คำนั้นของท่านผิดอนุโลมปัญจกะ จบ @เชิงอรรถ : @๑ ในคำถามนี้ สกวาทีจงใจแยกคำว่า สัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ออกจากกันเป็น ๒ คำ ๒ ความหมาย @(ดูเชิงอรรถที่ ๔ หน้า ๑) เพื่อไม่เปิดช่องให้ฝ่ายปรวาทีย้อนถามได้ (อภิ.ปญฺจ.อ. ๑/๑๓๐) @๒ เพราะฝ่ายปรวาทีเห็นคล้อยตามฝ่ายสกวาทีว่า สัจฉิกัฏฐะ ปรมัตถะ มีความหมายแยกกันจริง @(อภิ.ปญฺจ.อ. ๑/๑๓๒) @๓ นิคคหะ แปลว่า การข่ม การกดขี่ การปราบ(ด้วยวาทะ) ความผิดอันเกิดจากคำพูดที่ขัดแย้งกันเอง @ในที่นี้หมายถึงความผิดอันเกิดจากคำพูดที่ขัดแย้งกันเอง (อภิ.ปญฺจ.อ. ๑/๑๓๒) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๗ หน้า : ๒}
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [๑. มหาวรรค]
๑. ปุคคลกถา
ปฏิกัมมจตุกกะ [๒] ปร. ท่านหยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ใช่ไหม สก. ใช่๑- ปร. สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ท่านหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดย สัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้นใช่ไหม สก. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น๒- ปร. ท่านจงรับปฏิกรรม๓- ดังต่อไปนี้ หากท่านหยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ดังนั้น ท่านจึงควรยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐ- ปรมัตถ์นั้น ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้นว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้า หยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น คำนั้นของท่านผิด อนึ่ง หากท่านไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า ข้าพเจ้า หยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้นว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐ- ปรมัตถ์นั้น คำนั้นของท่านผิดปฏิกัมมจตุกกะ จบ @เชิงอรรถ : @๑ เพราะมีความเห็นว่า บุคคลเป็นสมมติสัจ ซึ่งบัญญัติขึ้นโดยอาศัยขันธ์ ๕ รวมกัน(อุปาทาบัญญัติ) @(อภิ.ปญฺจ.อ. ๒/๑๓๒) @๒ เพราะมีความเห็นว่า คำถามนี้คลุมเครือ โดยใช้คำว่า สัจฉิกัฏฐะ กับคำว่า ปรมัตถะ รวมๆ จึงไม่ @อาจตอบยืนยันเหมือนคำตอบที่ ๑ ได้ (อภิ.ปญฺจ.อ. ๒/๑๓๒) @๓ ปฏิกรรม แปลว่า การทำคืน การทำตอบ การโต้กลับ การแก้ไข ในที่นี้หมายถึงการโต้กลับเพื่อยกนิคคหะ @คืนไป (อภิ.ปญฺจ.อ. ๒/๑๓๓) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๗ หน้า : ๓}
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [๑. มหาวรรค]
๑. ปุคคลกถา
นิคคหจตุกกะ [๓] ปร. อนึ่ง หากท่านระลึกได้ว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้าหยั่งรู้ บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็น ปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น ดังนั้น ท่านเมื่อ ยอมรับด้วยปฏิญญานี้ในอนุโลมปัญจกะ๑- นั้น ก็ควรถูกลงนิคคหะอย่างนี้ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงลงนิคคหะท่าน ท่านจึงเป็นอันข้าพเจ้าลงนิคคหะชอบแล้ว ดังต่อไปนี้ หากท่านหยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ดังนั้น ท่านจึงควรยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐ- ปรมัตถ์นั้น ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้นว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้า หยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น คำนั้นของท่านผิด อนึ่ง หากท่านไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้น ว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอม รับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดย สัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น คำนั้นของท่านผิดนิคคหจตุกกะ จบ อุปนยนจตุกกะ [๔] ปร. หากนิคคหะนี้เป็นการนิคคหะโดยมิชอบ ในนิคคหะที่ท่านลงแก่ ข้าพเจ้านั้น ท่านก็จงเห็นว่าเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอม รับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดย สัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น และข้าพเจ้าเมื่อยอมรับด้วยปฏิญญานี้ในอนุโลมปัญจกะนั้น @เชิงอรรถ : @๑ อนุโลมปัญจกะ (ข้อ ๑) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๗ หน้า : ๔}
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [๑. มหาวรรค]
๑. ปุคคลกถา
ท่านไม่ควรลงนิคคหะอย่างนี้ แต่ท่านก็ยังลงนิคคหะข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงถูกท่านลง นิคคหะโดยมิชอบ ดังที่กล่าวมาว่า หากท่านหยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ดังนั้น ท่านจึงควรยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐ- ปรมัตถ์นั้น ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้นว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้า หยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็น ปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น คำนั้นของท่านผิด อนึ่ง หากท่านไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า ข้าพเจ้า หยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้นว่า ข้าพเจ้า ยอมรับว่า ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใด เป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น คำนั้น ของท่านผิดอุปนยนจตุกกะ จบ นิคคมจตุกกะ [๕] ปร. ท่านไม่ควรลงนิคคหะข้าพเจ้าอย่างนี้ แต่ท่านก็ยังลงนิคคหะข้าพเจ้า ด้วยนิคคหะว่า หากท่านหยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ดังนั้น ท่านจึงควรยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐ- ปรมัตถ์นั้น ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้นว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้า หยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น คำนั้นของท่านผิด อนึ่ง หากท่านไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า ข้าพเจ้า หยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้นว่า ข้าพเจ้า {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๗ หน้า : ๕}
พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [๑. มหาวรรค]
๑. ปุคคลกถา
ยอมรับว่า ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาวธรรม ใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น คำนั้นของท่านผิด ฉะนั้น นิคคหะที่ท่านกระทำแล้วเป็นการกระทำโดยมิชอบ ปฏิกรรมเป็นการ กระทำโดยชอบแล้ว การดำเนินกระบวนความ๑- เป็นการกระทำโดยชอบแล้วนิคคมจตุกกะ จบ นิคคหะที่ ๑ จบ ๑. สุทธสัจฉิกัฏฐะ ๒. ปัจจนีกานุโลมะ ปัจจนีกปัญจกะ [๖] ปร. ท่านหยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ใช่ไหม สก. ใช่ ปร. สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ท่านหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดย สัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้นใช่ไหม สก. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น๒- ปร. ท่านจงรับนิคคหะ ดังต่อไปนี้ หากท่านหยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ ดังนั้น ท่านจึงควรยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐ- ปรมัตถ์นั้น ท่านกล่าวคำขัดแย้งใดในตอนต้นนั้นว่า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้า หยั่งรู้บุคคลไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์ แต่ไม่ยอมรับว่า สภาวธรรมใดเป็นสัจฉิกัฏฐะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งรู้บุคคลนั้นไม่ได้โดยสัจฉิกัฏฐปรมัตถ์นั้น คำนั้นของ ท่านผิด @เชิงอรรถ : @๑ การดำเนินกระบวนความ หมายถึงวิธีการโต้กลับตั้งแต่ปฏิกัมมจตุกกะ (ข้อ ๒) จนถึงนิคคมจตุกกะ @๒ ดูเชิงอรรถที่ ๒ หน้า ๓ ในเล่มนี้ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๗ หน้า : ๖}
เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๓๗ หน้าที่ ๑-๖. http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=37&siri=1 ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2]. อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับหลวง :- http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=37&A=1&Z=98 ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=37&i=1 พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=37&item=1&items=5 อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=2701 The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/roman_item_s.php?book=37&item=1&items=5 The Pali Atthakatha in Roman :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=2701 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ http://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu37 อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/kv1.1/en/aung-rhysdavids
บันทึก ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]