บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องของนางจักแจ่มแจ้งใน มหาปทุมชาดก ทวาทสนิบาต. ก็ในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่นางจิญจ ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในเรือนของท่านปุโรหิต เจริญวัยแล้วได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัต สืบแทนบิดาผู้ล่วงลับ พระเจ้าพรหมทัตได้พระราชทานพรแก่พระอัครมเหสีไว้ว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เธอต้องการสิ่งใด พึงบอกสิ่งนั้น. พระนางกราบทูลว่า ขึ้นชื่อว่า พระพรอื่นมิได้เป็นสิ่งที่เกล้ากระหม่อมฉันได้ด้วยยากเลย ขอพระราชทานแต่ว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทูลกระหม่อมไม่พึงทอดพระเนตรหญิงอื่น ด้วยอำนาจกิเลส. แม้ท้าวเธอจะทรงห้ามไว้ ก็ถูกพระนางเซ้าซี้บ่อยๆ จึงไม่อาจปฏิเสธคำของพระนางได้ ก็ทรงรับตั้งแต่บัดนั้น ก็มิได้ทรงเหลียวแลบรรดานางระบำหมื่นหกพันนาง แม้แต่นางเดียวด้วยอำนาจกิเลส. อยู่มาปัจจันตชนบทของท้าวเธอเกิดกบฎขึ้น พวกโยธาที่ตั้งกองอยู่ในปัจจัน ฝ่ายพระนางก็กราบทูลว่า ทูลกระหม่อมเพคะ เกล้ากระหม่อมฉันไม่สามารถจะอยู่ข้างหลังดังพระดำรัสได้ อันพระราชาตรัสทัดทานห้ามอยู่บ่อยๆ ก็กราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้น ทูลกระหม่อมเสด็จไปทุกระยะโยชน์ โปรดสั่งให้คนมาโยชน์ละคนๆ เพื่อทรงทราบสุขทุกข์ของกระหม่อมฉันนะ เพคะ. พระราชาทรงรับคำแล้ว ทรงตั้งพระโพธิสัตว์เป็นผู้รักษาพระนคร ทรงยกกองทัพใหญ่ออกไป เมื่อเสด็จไปได้แต่ละโยชน์ ก็ส่งบุรุษคนหนึ่งๆ ไปด้วยพระดำรัสว่า เจ้าจงบอกความไม่มีโรคของข้า แล้วรู้สุขทุกข์ของพระเทวีมาเถิด. พระนางรับสั่งถามบุรุษที่มาแล้วๆ ว่า พระราชาส่งเจ้ามาเพื่ออะไร? เมื่อราชบุรุษกราบทูลว่า เพื่อต้องการทราบสุขทุกข์ของฝ่าพระบาท. ก็รับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นจงมานี้ แล้วทรงซ่องเสพอสัทธรรมกับบุรุษนั้น พระราชาเสด็จไปสิ้นหนทาง ๓๒ โยชน์ ทรงส่งคนไป ๓๒ คน พระนางได้กระทำกับคนเหล่านั้นทุกคน ทำนองเดียวกันทั้งนั้น. พระราชาทรงปราบปรามปัจจันตชนบทราบคาบแล้ว เกลี้ยกล่อมชาวชนบทเป็นอันดีแล้ว เมื่อเสด็จกลับ ก็ทรงส่งคนไป ๓๒ คน โดยทำนองเดียวกันนั่นแหละ พระนางก็ปฏิบัติผิดกับคนแม้เหล่านั้น อย่างนั้นเหมือนกัน พระราชาเสด็จมาถึงที่พักเพื่อฉลองชัย ทรงส่งหนังสือถึงพระโพธิ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า อย่าได้ตรัสอย่างนี้เลย พระราชาเล่าก็เป็นที่คารวะของข้าพระบาท ข้าพระบาทเล่าก็กลัวต่ออกุศล ข้าพระบาทไม่อาจทำอย่างนั้นได้. รับสั่งว่า พระราชาไม่เป็นที่เคารพของข้าบาทมูลทั้ง ๖๔ คน และคนเหล่านั้นก็ไม่กลัวอกุศล เจ้าคนเดียวเคารพพระราชา เจ้าคนเดียวกลัวอกุศล. กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ถ้าแม้คนเหล่านั้นพึงเป็นอย่างนั้นไซร้ ข้าพระบาทไม่พึงเป็นอย่างนั้น ก็ข้าพระบาทรู้อยู่ จักไม่กระทำกรรมอันเลวร้ายอย่างนั้นเลย. รับสั่งว่า เจ้าจะพูดพร่ำให้มากความไปใย ถ้าไม่ทำตามคำของเรา เราจักตัดหัวเจ้าเสีย. กราบทูลว่า ถูกตัดหัวในอัตภาพเดียว ก็พอทำเนา ยังไม่เท่ากับถูกตัดหัวไปถึงพันอัตภาพ ข้าพระบาทไม่อาจทำอย่างนี้. พระนางตรัสว่า เอาละ จะได้รู้ดีรู้ชั่วกัน แล้วเสด็จเข้าของพระองค์ แสดงรอยเล็บไว้ที่ร่างกาย ชะโลมตัวด้วยน้ำมัน นุ่งผ้าเก่าทำท่วงทีเป็นไข้ สั่งนางทาสีทั้งหลายว่า เมื่อพระราชารับสั่งว่า พระเทวีไปไหน? พึงทูลว่า ประชวรนะ. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ได้ไปรับเสด็จพระราชา พระราชาทรงกระทำประทักษิณพระนครแล้ว เสด็จขึ้นสู่ปราสาท รับสั่งถามว่า พระเทวีไปไหน? พวกทาสีกราบทูลว่า พระเทวีทรงพระประชวร พระเจ้าข้า. ท้าวเธอเสด็จเข้าสู่ห้องอันทรงสิริ ทรงลูบหลังพระนาง พลางตรัสถามว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เธอไม่สบายเป็นอะไรไป? พระนางนิ่งเฉยเสีย ในวาระที่ ๓ จึงชำเลืองมองพระราชา พลางกราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม แม้ว่าพระองค์ยังดำรงพระชนม์อยู่ หญิงทั้งหลายแม้เช่นกับหม่อมฉัน ก็ยังเป็นหญิงมีสามีเดียวอยู่โดยแท้จริง. รับสั่งถามว่า ก็ข้อนั้นมันเรื่องอะไรเล่า นางผู้เจริญ? กราบทูลว่า ปุโรหิตที่ทูลกระหม่อมทรงแต่งตั้งไว้รักษาพระนคร มาในที่นี้บอกว่า จักตกแต่งพระนิเวศน์ แล้วข่มขืนกระหม่อมฉันผู้ไม่กระทำตามคำของตน ทำเอาสมใจ แล้วจึงไปเพคะ. พระราชาทรงแผดพระสุรเสียงอยู่ฉาดฉานด้วยทรงกริ้ว ประหนึ่งโยนก้อน พระโพธิสัตว์ดำริว่า พระราชาคงถูกพระเทวีตัวร้ายนั้นกราบทูลยุยงเอาก่อนเป็นแน่ คราวนี้ เราต้องแก้ต่างเปลื้องตนด้วยปรีชาญาณของตนเอง ในวันนี้ให้จงได้ พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะ จึงบอกว่า เราเป็นข้าราชการ การงานที่เราทำไว้มีมาก เราย่อมรู้ที่ตั้งแห่งขุมทรัพย์มากแห่ง ท้องพระคลังหลวงเล่า เราก็ตรวจตรา ถ้าไม่นำเราเข้าเฝ้าพระราชาแล้ว ทรัพย์เป็นอันมาก พระราชาพอทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์เข้าเท่านั้น ก็ตรัสว่า เฮ้ย เจ้าพราหมณ์ เหตุไรเล่าจึงมิได้ยำเกรงเราเลย เหตุไรเล่าเจ้าจึงทำกรรมชั่วช้าสามานย์ได้ถึงขนาดนี้? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์นั้นเกิดในสกุลโสตถิย พระราชารับสั่งให้จองจำคนทั้ง ๖๔ แล้วรับสั่งให้หาพระเทวีมาเฝ้า มีพระดำรัส พระโพธิสัตว์ ครั้นให้พระราชาโปรดปล่อยคนทั้งหมดแล้ว ทรงแต่งตั้งในตำแหน่งเดิมของตนอย่างนี้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า หมู่บัณฑิตผู้ไม่น่าจะถูกจองจำ ถูกมัดไพล่หลังได้ เพราะถ้อยคำอันไม่มีหลักของคนที่เรียกกันว่า อันธพาล หมู่บัณฑิตรอดพ้นได้ แม้จากการถูกมัดไพล่หลัง ด้วยถ้อยคำที่ชอบด้วยเหตุ ขึ้นชื่อว่าพวกพาล แม้คนที่ไม่น่าจะจองจำ ก็ทำให้ต้องจองจำได้ บัณฑิตย่อมแก้ไขให้รอดจากการจองจำทั้งหลายได้อย่างนี้ พระเจ้าข้า. แล้วกล่าวคาถานี้ ใจความว่า :- "คนพาลแย้มพรายออกมา ณ ที่ใด ณ ที่นั้น คนไม่น่าถูกจองจำ ย่อมถูกจองจำได้ หมู่บัณฑิตแย้มพรายออกมา ณ ที่ใด ณ ที่นั้น แม้คนที่ถูกจองจำแล้ว ก็รอดพ้นได้" ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อพทฺธา แปลว่า คนที่น่าจะถูกจองจำ. บทว่า ปภาสเร แปลว่า ย่อมแย้มพราย คือย่อมบอก ย่อมกล่าว. พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่พระราชาด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว กราบทูลขออนุญาตการบรรพชาว่า ข้า พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า เทวีตัวร้ายในครั้งนั้น ได้มาเป็น นางจิญจมาณวิกา ในครั้งนี้ พระราชาได้มาเป็น อานนท์ ส่วนปุโรหิตได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ พันธนโมกขชาดกที่ ๑๐ จบ หังสิวรรคที่ ๑๒. ----------------------------------------------------- รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. คัทรภปัญหา ว่าด้วย ลากับม้าอัสดร ๒. อมราเทวีปัญหา ว่าด้วย บอกใบ้หนทางไปบ้าน ๓. สิคาลชาดก ว่าด้วย พราหมณ์เชื่อสุนัข ๔. มิตจินติชาดก ว่าด้วย ปลาช่วยปลาให้พ้นข่าย ๕. อนุสาสิกชาดก ว่าด้วย ดีแต่สอนผู้อื่น ๖. ทุพพจชาดก ว่าด้วย ได้รับโทษเพราะทำเกินไป ๗. ติตติรชาดก ว่าด้วย ตายเพราะปาก ๘. วัฏฏกชาดก ว่าด้วย การใช้ความคิด ๙. อกาลราวิชาดก ว่าด้วย ไก่ขันไม่ถูกเวลา ๑๐. พันธนโมกขชาดก ว่าด้วย การหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัด ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา พันธนโมกขชาดก จบ. |