ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก  หนังสือธรรมะ
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
มิลินทปัญหา
นิพพานัสส อัตถิภาวปัญหา ที่ ๙
             ราชา สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีพระราชโองการตรัสถามอรรถปัญหาปริศนา อื่นสืบไปว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ กมฺมนิพฺพตฺตา เกิดด้วยกุศลากุศลกรรมตบแต่ง ได้แก่สัตว์โลกทั้งปวงนี้ย่อมมีปรากฏอยู่ เหตุนิพฺพตฺตา ที่เกิด แต่เหตุก็ปรากฏอยู่ อุตุนิพฺพตฺตา ที่เกิดตามฤดูก็ปรากฏอยู่แล้ว ก็สิ่งไรที่ว่าเป็นอกัมมัชชะมิได้ เกิดแก่กรรมคือบุญบาป และเป็นอเหตุชชะมิได้เกิดแต่เหตุนั้น และเป็นอนุตุชชะมิได้เกิดแต่ฤดูนั้น นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาให้แจ้งก่อน              พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ สิ่งที่มิได้ บังเกิดด้วยกรรมและเหตุและฤดูนั้น มีอยู่ ๒ ประการ คืออากาศและพระนิพพานเท่านี้ ขอถวายพระพร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ นาคเสนผู้ปรีชา พระผู้เป็นเจ้าอย่าดูถูกลบหลู่ตู่พระพุทธฎีกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ แล้วอย่าเพ่อวิสัชนาปัญหา              พระนาคเสนจึงมีเถรวาจารว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ อาตมาวิสัชนาอย่างไร มหาบพิตรจึงตรัสอย่างนี้              ฝ่ายสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้า แต่พระนาคเสนผู้ปรีชา นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาตามกระแสพระพุทธฎีกา ที่ตรัสพระ สัทธรรมเทศนาไว้ รู้ก็ว่ารู้ ที่ไม่รู้ก็จงบอกว่าไม่รู้ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าว่าอากาศกับพระนิพพานนี้มิ ได้เกิดแต่กรรมแต่เหตุแต่ฤดูนั้น ก็ทำไมเล่า สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนา ่ว่า อยํ มคฺโค อันว่ามรรคานี้ พระตถาคตกล่าวว่าเป็นเหตุจะกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน พระ ผู้เป็นเจ้าจะว่าพระนิพพานเป็นอเหตุชชะมิได้เกิดแต่เหตุนั้น ผู้เป็นเจ้าว่านี้มั่นคงแล้วหรือ ประการใด              พระนาคเสนมีเถรวาจาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภารผู้ทรงพระ คุณอันประเสริฐ พระนิพพานนี้มิได้เกิดแต่เหตุ ซึ่งพระพุทธฎีกาตรัสว่า มรรคเป็นเหตุกระทำให้ แจ้งซึ่งพระนิพพานนี้ พระองค์ตรัสด้วยเหตุมากกว่าร้อย แต่เหตุที่อาศัยพระนิพพานนั้น หาได้ มีพระพุทธฎีกาตรัสไว้ไม่              พระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสเปรียบว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ นาคเสนผู้ปรีชา เหมือนหนึ่งว่าเราท่านทั้งหลายออกจากที่มืดแล้วจะเข้าสู่ที่มืดเล่า เรา ท่านทั้งหลายพ้นจากป่าแล้วจะกลับเข้าป่าใหม่เล่า ถ้ามิฉะนั้นเหมือนหนึ่งว่าเราทั้งหลาย พ้นราวป่าเป็นสุมทุมแล้ว และจะกลับเข้าสู่สุมทุมราวป่าเล่า ความข้อนี้มีฉันใด พระผู้เป็น เจ้าว่าเหตุที่จะกระทำให้บังเกิดพระนิพพานไม่มี แต่เหตุที่จะกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานนั้นมีความ ก็เหมือนกันกับคำว่าเราพ้นที่มืดไม่มีที่มืดแล้ว แต่จะไปสู่ที่มืดใหม่เล่า เหมือนคำว่าเราพ้นป่า แล้วไม่มีป่า แต่ว่าเราจะเข้าป่าอีกเล่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าว่าเหตุจะกระทำให้แจ้งพระนิพพานนั้นมี ควรจะว่าเหตุอาศัยให้เกิดพระนิพพานมีอยู่ ควรจะว่าพระนิพพานบังเกิดแต่เหตุ เปรียบเหมือน บิดาของบุตรมี บิดาของบิดาก็ต้องมี แม้อาจารย์ของอาจารย์ก็ต้องมี พืชพันธุ์ที่จะให้เกิดต้น ต่อไปมีก็จำต้องค้นหาพืชเดิมอันให้เกิดพืชนั้นอีก ยถา มีอุปมาฉันใด เมื่อเหตุจะกระทำให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพานนั้นมีแล้ว ก็ควรจะว่าเหตุอาศัยจะให้เกิดพระนิพพานมี ควรจะว่าพระนิพพานมี เหตุเกิดแต่เหตุ ประการหนึ่ง ถ้ามิฉะนั้นเปรียบดุจต้นไม้และเครือเขาเถาลดาวัลย์ เมื่อยอดไม้ และเครือเขาเถาวัลย์นั้นมีแล้ว ก็ควรจะว่าท่ามกลางต้นและรากแห่งเครือเขาเถาวัลย์นั้นมี ยถา มีอุปมาฉันใด อันว่าเหตุที่จะกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานนั้นมีอยู่แล้ว ก็ควรจะว่าเหตุอาศัยที่ จะให้เกิดซึ่งพระนิพพานมี เอวเมว เมาะ ตถา มีครุวนาอุปไมย ฉันนั้น              พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร พระ นิพพานนี้หาเชื้อตัณหามิได้ จะเข้าพระทัยว่าพระนิพพานนั้นเกิดแต่เหตุ ดุจอุปมานี้ไม่ควร ด้วยพระนิพพานนี้หาอุปาทานเชื้อสายมิได้ เหตุฉะนี้จึงว่าพระนิพพานนี้มิได้เกิดแต่เหตุ ขอถวายพระพร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ นาคเสนผู้ปรีชา อิงฺฆ ดังข้าพเจ้าตักเตือน อาราธนาพระผู้เป็นเจ้าชักเอาเหตุมาอุปมาให้โยมเข้าใจ              พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ โอทหิ โสตํ บพิตรเจ้าจงตั้งพระโสตสดับ สกฺกจฺจํ โดยสัจเคารพในคำที่อาตมาวิสัชนา วกฺขามิ การณํ อาตมาจะสำแดงให้แจ้งเหตุ ในลักษณะแห่งพระนิพพาน มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระ ราชสมภาร ดังรูปจะถามบพิตรบ้าง ธรรมดาว่าบุรุษมีกำลังเป็นปรกติ บุรุษผู้นั้นจะไปให้ถึงภูเขา หิมพานต์จะไปได้หรือว่าไม่ได้นะ บพิตรพระราชสมภาร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์มีพระราชโองการตรัสว่า อาม ภนฺเต พระเจ้าข้า บุรุษนั้นไปถึง ซิพระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนถวายพระพรถามเล่าว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร เมื่อบุรุษผู้นั้นคมนาการไปถึงภูเขาหิมพานต์แล้ว จะยกเอาภูเขาหิมพานต์นั้นมาด้วยแรงตนให้ คนทั้งหลายชมเล่นให้เห็นด้วยกันสิ้น จะได้หรือไม่ได้ นะบพิตรพระราชสมภาร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีจึงมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็น เจ้า บุรุษผู้นั้นจะอาจยกเอาภูเขาหิมพานต์หามิได้              พระนาคเสนถวายพระพรว่า บุรุษมีกำลังยกภูเขาหิมพานต์มามิได้ฉันใดก็ดี อาตมาก็ อาจกล่าวแต่มรรคที่กระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน แต่ทว่าไม่อาจยกเอาเหตุอาศัยให้เกิดพระ นิพพานมาสำแดงให้เห็นแจ้งได้ดังนี้ มหาราช ขอถวายพระพร ประการหนึ่ง บุรุษผู้มีกำลัง เป็นปรกติ อาจลงเรือข้ามมหาสมุทรไปฝั่งฟากโน้นได้หรือไม่ได้ นะมหาบพิตรพระราชสมภาร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นภูมิบาลจึงมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต พระเจ้าข้า บุรุษ นั้นไปถึงได้ซิ พระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนจึงถวายพระพรถามว่า มหาราช ดูรานะบพิตรผู้ประเสริฐ บุรุษนั้นจะพึง นำเองฝั่งมหาสมุทรข้างโน้นมายังฝั่งข้างนี้ให้คนทั้งหลายเห็นได้ละหรือ              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นธรณีจึงตรัสว่า น หิ ภนฺเต ข้าแต่พระนาคเสนผู้จำเริญ บุรุษ นั้นจะอาจนำมาหามิได้              พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรผู้ประเสริฐ บุรุษนั้นไม่อาจนำ มหาสมุทรฝั่งโน้นมาให้คนเห็นได้ฉันใด อาตมาก็อาจกล่าวแต่มรรคที่ทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่ อาจแสดงเหตุที่อาศัยให้เกิดพระนิพพานได้ฉันนั้น เพราะพระนิพพานเป็นอสังขตธรรมจะมีเหตุ มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งขึ้นหามิได้ ขอถวายพระพร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า นิพพฺานํ อันว่าพระนิพพานนี้ไม่มีผู้ใดอาจที่จะเปรียบเทียบว่ากล่าว ให้เห็นแจ้งได้แล้วละหรือ พระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนถวายพระพรว่า อาม มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร จริงอย่างนั้น เพราะพระนิพพานเป็นอสังขตธรรมไม่มีเหตุไม่มีใครกระทำ ประการหนึ่ง มหาราช ขอถวายพระ พร พระนิพพานนี้ไม่พึงจะกล่าวได้ว่า อุปฺปนฺนํ บังเกิดเอง อนปฺปนฺนํ ไม่เกิดเอง อุปฺปาทนียํ อาศัยธรรมแล้วบังเกิด หรือจะเป็นอดีตเป็นอนาคตปัจจุบันก็มิได้ น จกฺขุวิญฺเญยฺยํ มิควร จะรู้ด้วยจักษุได้ น โสตวิญฺเญยฺยํ และมิควรจะรู้ด้วยโสตได้ น ฆานวิญฺเญยฺยํ และมิควรจะ รู้ด้วยจมูกได้ น ชิวฺหาวิญฺเญยฺยํ และมิควรจะรู้ด้วยลิ้นได้ น กายวิญฺเญยฺยํ และมิอาจรู้ด้วยกายได้ มิอาจว่าพระนิพพานเกิดแต่สิ่งใดได้เลย ขอถวายพระพร สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ถ้าว่าพระนิพพาน บุคคล มิอาจว่าเกิดเองไม่เกิดเอง อาศัยธรรมแล้วเกิด บุคคลไม่พึงรู้ได้ด้วยจักษุโสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ ดังนี้แล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็กล่าวอ้างว่า พระนิพพานไม่มีนะซิ ใช่ไหมเล่าพระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร อัน พระนิพพานนี้มีแท้ มโนวิญฺเญยฺยํ เป็นของพึงรู้แจ้งได้ด้วยใจ และบุคคลอันเป็นปุถุชนก็ไม่อาจรู้ ได้ สมฺมาปฏิปนฺโน ขีณาสโว รู้ได้แน่แต่พระขีณาสพซึ่งปฏิบัติชอบ มีจิตบริสุทธิ์ปราศจาก นิวรณ์และอามิส เป็นจิตละเอียดประณีตเที่ยงตรงแน่วแน่แล้วเท่านั้น ขอถวายพระพร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการถามว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ นาคเสนผู้ปรีชาญาณ พระนิพพานนี้เป็นเช่นไร มีอยู่แล แต่จะแสดงให้เห็นโดยชักอุปมาก็ไม่ได้ น่าสงสัยนัก พระผู้เป็นเจ้าจงอ้างเหตุชี้แจงให้โยมเข้าใจ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอยู่หรือที่มีอยู่แล้วแต่จะ แสดงให้เห็นโดยอุปมาก็ไม่ได้              พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร วาโต นาม ชื่อว่า ลมนั้นมีอยู่ในโลกหรือ บพิตร              สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า อาม ภนฺเต พระเจ้าข้า ลมมีอยู่ในโลก พระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนจึงถวายพระพรถามว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร บพิตร จงสำแดงให้เห็นโดยวรรณะและสัณฐานว่าลมนั้นจะเล็กใหญ่หยาบละเอียด หรือยาวสั้นเป็น ประการใด              พระเจ้ามิลินท์จึงมีพระราชโองการตรัสว่า น สกฺกา ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมไม่อาจ สำแดงให้เห็นโดยวรรณะและสัณฐานได้ อันลมนั้นมิใช่สิ่งที่จะพึงหยิบขยำกอบโกยเอาได้ด้วยมือ แต่ว่าลมนั้นอยู่ พระผู้เป็นเจ้า              พระนาคเสนมีเถรวาจาว่า มหาราช ดูรานะบพิตรผู้ประเสริฐ เบื้องว่าบพิตรไม่อาจ สำแดงให้เห็นได้แล้ว จะว่าลมมีอยู่อย่างไรเล่า              พระเจ้ามิลินท์มีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา ลมนั้นมีอยู่ จะไม่มีนั้นหามิได้ โยมหายใจสูบเข้าไปในหฤทัย รู้ได้โดยแท้ แต่โยมไม่อาจแสดง ให้พระผู้เป็นเจ้าเห็นเท่านั้น พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า เอวเมว โข มหาราช ดูกรบพิตรผู้ประเสริฐ บพิตรไม่ อาจสำแดงลมให้เห็นโดยวรรณะและสัณฐานได้ฉันใดก็ดี พระนิพพานมีอยุ่ อาตมาก็ไม่อาจสำแดง ให้เห็นโดยวรรณะและสัณฐานได้เหมือนดังนั้น              พระเจ้ามิลินท์ได้ทรงฟังก็โสมนัสตรัสว่า สาธุ ภนฺเต พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาดีแล้ว โยมจะ รับซึ่งคำของพระผู้เป็นเจ้าไว้ในกาลบัดนี้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ปัจฉิมาชนตาสัตว์
นิพพานัสส อัตถิภาวปัญหา คำรบ ๙ จบเพียงนี้

             เนื้อความมิลินทปัญหา หน้าที่ ๓๙๔ - ๓๙๘. http://84000.org/tipitaka/milin/milin.php?i=163              สารบัญมิลินทปัญหา http://84000.org/tipitaka/milin/milin.php?i=0#item_163

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙ หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]