ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 370อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 371อ่านอรรถกถา 26 / 372อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทสกนิบาต
๒. เอกวิหาริยเถรคาถา

               อรรถกถาเอกวิหาริยเถรคาถาที่ ๒               
               คาถาของท่านพระเอกวิหาริยเถระ เริ่มต้นว่า ปุรโต ปจฺฉโต วาปิ ดังนี้.
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               พระเอกวิหาริยะแม้นี้เป็นผู้มีอธิการได้บำเพ็ญมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ในภพนั้นๆ ได้สั่งสมบุญเป็นอันมากไว้ ในกาลแห่งพระทศพลทรงพระนามว่ากัสสปะ บังเกิดในเรือนมีสกุล ถึงความรู้เดียงสาแล้ว ได้ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาแล้ว ได้มีความเลื่อมใส บรรพชาแล้วเข้าไปสู่ป่า อยู่แบบสงบสงัด.
               ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านจึงท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ตลอดพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ได้บังเกิดเป็นพระกนิษฐภาดาของพระเจ้าธรรมาโศกราช.
               ได้ยินว่า ในปีที่ ๒๑๘ นับแต่พระศาสดาได้ปรินิพพานมา พระเจ้าอโศกมหาราชทรงได้รับการอภิเษกเป็นเอกราชในชมพูทวีปทั้งสิ้นแล้ว ทรงสถาปนาติสสกุมารผู้พระกนิษฐภาดาของพระองค์ไว้ในตำแหน่งอุปราช ทรงใช้พระอุบายอย่างหนึ่ง ทำพระกนิษฐภาดานั้นให้มีความเลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา.
               วันหนึ่ง ติสสกุมารนั้นเข้าไปหานายพรานเนื้อแล้ว มองเห็นพระโยนกมหาธรรมรักขิตเถระในป่า ซึ่งช้างตัวประเสริฐกำลังจับกิ่งไม้สาละนั่งพัดถวาย จึงเกิดความเลื่อมใสคิดว่า โอ! หนอ เราบวชแล้วพึงเป็นดุจพระมหาเถระนี้ อยู่ในป่าบ้าง.
               พระเถระทราบถึงความเป็นไปแห่งจิตของเขา เมื่อเขากำลังเห็นอยู่นั่นแหละ จึงเหาะขึ้นสู่อากาศแล้วมายืนบนน้ำแห่งสระโบกขรณี ในอโศการาม ไม่ทำให้น้ำแตกแยกกันแล้ว คล้องจีวรและผ้าอุตราสงค์บนอากาศ เริ่มจะอาบน้ำ.
               พระกุมารเห็นอานุภาพของพระเถระแล้ว มีความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง กลับจากป่าแล้วเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ แล้วกราบทูลแด่พระราชาว่า หม่อมฉันจักบวช ดังนี้.
               พระราชาทรงอ้อนวอนพระกุมารนั้นมีประการต่างๆ ก็ไม่อาจจะล้มเลิกความประสงค์ที่จะบวชได้.
               พระกุมารนั้นเป็นอุบาสก เมื่อปรารถนาถึงความสุขในการบวช จึงกล่าวคาถา ๖ คาถาเหล่านี้ว่า :-
                                   ถ้าไม่มีผู้อื่นอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังเรา ความสบายใจ
                         อย่างยิ่ง คงจะมีแก่เราผู้อยู่ในป่าผู้เดียว มิฉะนั้น เราผู้เดียวจัก
                         ไปสู่ป่าอันพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า ความผาสุกย่อมมีแก่
                         ภิกษุผู้อยู่แต่ผู้เดียว มีใจเด็ดเดี่ยว เราผู้เดียว เป็นผู้ชำนาญใน
                         สิ่งที่เป็นประโยชน์ จักเข้าไปสู่ป่าใหญ่ อันทำให้เกิดปีติแก่พระ
                         โยคาวจร น่ารื่นรมย์ เป็นที่อยู่ของหมู่ช้างตกมัน โดยเร็วพลัน
                         เราผู้เดียวจักอาบน้ำในซอกเขาอันเยือกเย็น ในป่าอันเย็น มี
                         ดอกไม้บานสะพรั่ง จักจงกรมให้เป็นที่สำราญใจ เมื่อไรเราจึง
                         จักได้อยู่ในป่าใหญ่อันน่ารื่นรมย์แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง
                         จักเป็นผู้ทำกิจสำเร็จ หาอาสวะมิได้ ขอความประสงค์ของเรา
                         ผู้ปรารถนาจะทำอย่างนี้ จงสำเร็จเถิด เราจักยังความประสงค์
                         ของเราให้สำเร็จจงได้ ผู้อื่นไม่อาจทำผู้อื่นให้สำเร็จได้เลย.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรโต ปจฺฉโต วา ความว่า ถ้าคนอื่นไม่มีอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังตน คือเพราะการที่ต้องกำหนดเสียง หรือการที่ต้องมองดูก็ไม่มี. ความสุขสบายใจอย่างยิ่งจะมีแก่เรา. แก่เราผู้เดียว คือไม่มีสหายโดยความเป็นอยู่ผู้เดียว.
               บทว่า วสโต วเน ความว่า อุบาสกนั้นมีหัวใจอันอัธยาศัยในความสงบที่ตนสั่งสมมาแล้วเป็นเวลานาน ชักชวนอยู่เสมอ เมื่อตนมีมหาชนแวดล้อมอยู่ทั้งกลางคืนกลางวัน จึงพลันเกิดความเบื่อหน่ายต่อการอยู่คลุกคลีด้วยคณะ สำคัญหมายถึงความสุขอันเกิดแต่ความสงัด และความสุขเป็นอันมาก จึงกล่าวไว้.
               ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิบาต ลงในอรรถว่าสละวาง. ด้วยเหตุนั้น บัดนี้ เขาจึงกล่าวถึงกิริยาที่ตนกำลังทำ ซึ่งละหมู่คณะไปสู่ป่า.
               บทว่า เอโก คมิสฺสามิ ความว่า เราผู้เดียวไม่มีเพื่อน จักไปคือจักเข้าไปโดยความประสงค์จะอยู่ป่า ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายสรรเสริญไว้ โดยพระดำรัสมีอาทิว่า ดูก่อนคฤหบดี พระตถาคตทั้งหลายย่อมยินดียิ่งในเรือนว่างแล.
               เพราะความผาสุกในการอยู่ป่า ย่อมมีแก่ภิกษุผู้อยู่แต่ผู้เดียวคือผู้อยู่คนเดียว เพราะไม่มีเพื่อนในที่ทั้งหลายเป็นต้น ผู้มีตนอันส่งไปแล้ว ได้แก่ผู้ศึกษาสิกขา ๓ มีอธิศีลสิกขาเป็นต้น เพราะตนมีจิตส่งไปเฉพาะพระนิพพาน.
               อธิบายว่า นำสิ่งที่น่าปรารถนาและความสุขมาให้.
               บทว่า โยคีปีติกรํ ได้แก่ ชื่อว่าอันกระทำให้เกิดปีติแก่พระโยคาวจร เพราะการนำมาซึ่งปีติที่เกิดแต่ฌานและวิปัสสนาเป็นต้น แก่พระโยคาวจรทั้งหลายผู้ประกอบความเพียรในการภาวนา ด้วยความไม่มีศรัทธาเป็นต้น.
               ชื่อว่า รมฺมํ เพราะเป็นสถานที่สมควรแก่การหลีกเร้น โดยที่ไม่มีวิสภาคารมณ์.
               บทว่า มตฺตกุญฺชรเสวิตํ ได้แก่ เป็นที่เที่ยวไปของหมู่ช้างตกมัน.
               ด้วยบทนี้ ท่านแสดงถึงที่อยู่อันสงัดจากหมู่ชนเท่านั้น เพราะมีป่าขึ้นหนาแน่น.
               สมณธรรม ท่านประสงค์ถึงประโยชน์ ในบทว่า อตฺถวสี นี้ได้แก่ ไปสู่อำนาจของประโยชน์นั้นว่า ทำอย่างไรหนอ สมณธรรมนั้นจะพึงมีแก่เรา ดังนี้.
               บทว่า สุปุปฺผิเต ได้แก่ มีดอกไม้อันบานสะพรั่งด้วยดี.
               บทว่า สีตวเน ได้แก่ ในป่าที่เย็น เพราะมีร่มเงาและน้ำสมบูรณ์. ด้วยบทแม้ทั้งสอง ท่านแสดงถึงสถานที่นั้นว่า ร่มรื่นเท่านั้น.
               บทว่า คิริกนฺทเร ได้แก่ ในซอกระหว่างแห่งภูเขา.
               จริงอยู่ น้ำท่านเรียกว่า กํ. สถานที่ลุ่มอันน้ำนั้นเซาะแล้ว ชื่อว่ากันทระ. ท่านแสดงถึงความประพฤติที่ไม่ครอบครองที่อยู่อาศัย ในที่ไหนๆ ว่า เราผู้เดียวบรรเทาความเร่าร้อนในฤดูร้อนเสีย ในซอกเขาอันเยือกเย็นเช่นนั้น แล้ว ราดรด อาบตัวของตัวแล้วจักจงกรม ดังนี้.
               บทว่า เอกากิโย ได้แก่ ผู้ผู้เดียวไม่มีเพื่อน.
               บทว่า อทุติโย ได้แก่ ไม่มีเพื่อน เพราะไม่มีเพื่อนกล่าวคือตัณหา จริงอยู่ ตัณหาชื่อว่าเป็นเพื่อนของบุรุษ เพราะอรรถว่าไม่ละทิ้งในกาลทั้งปวง. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า บุรุษมีตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยวไปอยู่ตลอดกาลอันยาวนาน ดังนี้.
               บทว่า เอวํ เม กตฺตุกามสฺส ความว่า ขอความประสงค์ของเราผู้ปรารถนาจะไปป่าทำการประกอบความเพียรเจริญภาวนา โดยวิธีที่กล่าวแล้ว เป็นต้นว่า เอาเถอะ เราผู้เดียวจักไป ดังนี้.
               บทว่า อธิปฺปาโย สมิชฺฌตุ ความว่า ขอมโนรถที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า ในคราวนั้น เราจักเป็นผู้เสร็จกิจ ไม่มีอาสวะดังนี้ จงสำเร็จคือจงถึงซึ่งความสำเร็จเถิด.
               ก็เพราะการบรรลุพระอรหัตจะสำเร็จด้วยเพียงการอ้อนวอน ก็หามิได้ ทั้งผู้อื่นจะพึงให้สำเร็จ ก็หามิได้ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เราจักทำความประสงค์ของเราให้สำเร็จให้ได้ ผู้อื่นไม่อาจจะทำผู้อื่นให้สำเร็จได้เลย ดังนี้เป็นต้น.
               พระราชาทรงทราบว่า อุปราชมีความปรารถนามั่นคงในการบรรพชาอย่างนั้น จึงทรงมีรับสั่งให้คนประดับหนทางที่จะไปยังอโศการามแล้ว ทรงนำพาพระกุมารผู้ประดับด้วยอลังการพร้อมสรรพไปยังพระวิหาร ด้วยราชานุภาพอันยิ่งใหญ่ ด้วยเสนาหมู่ใหญ่.
               พระกุมารไปยังเรือนที่บำเพ็ญเพียรแล้ว บวชในสำนักของพระมหาธรรมรักขิตเถระ. พวกมนุษย์หลายร้อยคนพากันบวชตามพระกุมารนั้นแล้ว. แม้ท่านอัคคิพรหมผู้เป็นราชภาคิไนย และผู้เป็นพระสวามีของพระนางสังฆมิตตา ก็ออกบวชตามพระกุมารนั้นเหมือนกัน.
               พอพระกุมารนั้นบวชแล้วเป็นผู้มีจิตร่าเริงยินดี เมื่อจะประกาศถึงกิจที่ตนควรจะกระทำ จึงกล่าวคาถา ๓ คาถาว่า
                                   เราจักผูกเกราะคือความเพียร จักเข้าไปสู่ป่าใหญ่
                         เรายังไม่บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว จักไม่ออกไปจากป่า
                         นั้น เมื่อลมพัดเย็นมา กลิ่นดอกไม้ก็หอมฟุ้งมา เราจักนั่ง
                         อยู่บนยอดเขาทำลายอวิชชา เราจักได้รับความสุขรื่นรมย์
                         อยู่ด้วยวิมุตติสุข ในถ้ำที่เงื้อมเขาซึ่งดารดาษไปด้วยดอก
                         โกสุม มีภาคพื้นเยือกเย็น อันมีอยู่ในป่าใหญ่เป็นแน่.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอส พนฺธามิ สนฺนาหํ ความว่า เรานั้นจักผูกเกราะคือความเพียร ได้แก่เราไม่ห่วงใยในร่างกายและชีวิต จะผูกไว้ด้วยเกราะคือความเพียร.
               มีคำที่ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า
               เปรียบเสมือนบุรุษผู้กล้าหาญมีความประสงค์จะเอาชนะเหล่าข้าศึกที่ลุกขึ้นตั้งรับ จึงละทิ้งกิจอื่นแล้วผูกสอดเครื่องรบ มีเสื้อเกราะเป็นต้นและไปยังยุทธภูมิแล้ว ยังไม่ชนะเหล่าข้าศึกแล้วก็ไม่ยอมกลับมาจากที่นั้น ชื่อฉันใด
               แม้เราเองก็ฉันนั้นเหมือนกัน มุ่งเพื่อจะเอาชนะเหล่าข้าศึกคือกิเลส ไม่ห่วงใยศีรษะและผ้า ถึงว่าจะถูกความร้อนแผดเผาทั่วก็ตาม จะผูกสอดเกราะคือความเพียรอันได้แก่สัมมัปปธาน ๔ อย่างไว้ ยังไม่ชนะเหล่ากิเลสจะไม่ยอมสละละทิ้งที่อันสงัด สำหรับทำความเพียรเพื่อชนะกิเลสให้ได้.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เราจักเข้าไปสู่ป่าใหญ่ เรายังไม่บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว จักไม่ยอมออกไปจากป่านั้น ดังนี้เป็นต้น.
               ด้วยบทว่า มาลุเต อุปวายนฺเต ดังนี้เป็นต้น ท่านกล่าวถึงสถานที่อยู่ในป่า เหมาะแก่การเจริญกัมมัฏฐาน.
               ประกอบความว่า เราจักรื่นรมย์อยู่ในถ้ำที่เงื้อมเขาแน่นอน.
               อธิบายว่า ท่านกล่าวกำหนดความที่เป็นอนาคตกาลว่า เราเห็นจักอภิรมย์ที่เชิงบรรพต.
               คำที่เหลือพึงรู้ได้โดยง่ายทีเดียว.
               พระเถระกล่าวอย่างนั้นแล้วเข้าไปสู่ป่า บำเพ็ญสมณธรรมพร้อมกับพระอุปัชฌาย์ ได้ไปยังแคว้นกลิงคะ. ในแคว้นนั้น พระเถระเกิดเป็นโรคผิวหนังขึ้นที่เท้า. หมอคนหนึ่งเห็นท่านแล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านหาเนยใสมาเถิด, ผมจะรักษาเยียวยาให้ท่าน. พระเถระไม่ยอมแสวงหาเนยใส มุ่งแต่จะบำเพ็ญวิปัสสนาถ่ายเดียว, โรคกำเริบขึ้น หมอเห็นว่าพระเถระมีความขวนขวายน้อยในที่นั้นแล้ว ตนเองจึงแสวงหาเนยใสเสียเองแล้ว ได้ทำพระเถระให้หายขาดจากโรค.
               พระเถระนั้นไม่มีโรค ต่อกาลไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้อปทานว่า๑- :-
               ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ โดยพระโคตร เป็นเผ่าพรหม มีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ไม่มีธรรมเครื่องให้เนิ่นช้า ไม่มีเครื่องยึดหน่วง มีพระทัยเสมอด้วยอากาศ มากด้วยสุญญตสมาธิ คงที่ ยินดีในอนิมิตตสมาธิ ประทับอยู่แล้ว.
               พระองค์ผู้มีพระทัยรังเกียจ ไม่มีตัณหาเครื่องฉาบทา ไม่เกี่ยวข้องในสกุล ในคณะ ประกอบด้วยพระกรุณาใหญ่ เป็นนักปราชญ์ ทรงฉลาดในอุบายเครื่องแนะนำ ทรงขวนขวายในกิจของผู้อื่น ทรงแนะนำในหนทางอันยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน ซึ่งเป็นเหตุทำเปือกตมคือคติ ให้แห้ง ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ประทับนั่งแสดงอมตธรรม อันเป็นความแช่มชื่นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเครื่องห้ามชราและมรณะ ในท่ามกลางบริษัทใหญ่ ยังสัตว์ให้ข้ามโลก
               พระวาจาไพเราะเหมือนนกการะเวก เป็นนาถะของโลก มีพระสุรเสียงก้องประหนึ่งเสียงพรหมผู้เสด็จมาด้วยประการนั้น ถอนพระองค์ขึ้นจากมหันตทุกข์ ในเมื่อโลกปราศจากผู้แนะนำ ทรงแสดงธรรมที่ปราศจากธุลี นำสัตว์ออกจากโลก
               เราได้เห็นแล้ว ได้ฟังธรรมของพระองค์ จึงออกบวชเป็นบรรพชิต ครั้นเราบวชแล้ว ในกาลนั้นคิดถึงคำสั่งสอนของพระชินเจ้า ถูกความเกี่ยวข้องบีบคั้น จึงได้อยู่เสียในป่าที่น่ารื่นรมย์แต่ผู้เดียวเท่านั้น
               การที่เรามีกายหลีกออกมาได้ เป็นเหตุแห่งการหลีกออกแห่งใจของเราผู้เห็นภัย ในความเกี่ยวข้อง เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... ฯลฯ ... พุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๒๑

               ก็เมื่อพระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว อยู่ในที่นั้น พระราชาทรงบริจาคทรัพย์ ๑ โกฏิแล้วให้ทรงสร้างวิหารชื่อว่าโภชกคิริวิหาร แล้วทรงนิมนต์พระเถระให้อยู่ในพระวิหารนั้น.
               พระเถระนั้นอยู่ในพระวิหารนั้น ในเวลาใกล้จะปรินิพพาน ได้กล่าวคาถาสุดท้ายว่า
                                   เรานั้นมีความดำริอันเต็มเปี่ยมแล้ว เหมือนพระจันทร์
                         ในวันเพ็ญ เป็นผู้สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มีอีก.

               คาถานั้นมีเนื้อความง่ายแล้วแล.
               ก็การพยากรณ์พระอรหัตนั้นนั่นแล ได้มีแล้วแก่พระเถระแล.

               จบอรรถกถาเอกวิหาริยเถรคาถาที่ ๒               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทสกนิบาต ๒. เอกวิหาริยเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 370อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 371อ่านอรรถกถา 26 / 372อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6946&Z=6964
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=4426
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=4426
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :