อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓]อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์๒๕. โคตมพุทธวงศ์หน้าต่างที่ ๒ / ๓. แม้พระโพธิสัตว์ก็ขึ้นทรงรถนั้นเสด็จเข้าสู่พระนคร ด้วยราชบริพารหมู่ใหญ่ ด้วยสิริโสภาคย์อันน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก.
สมัยนั้น นางกษัตริย์พระนามว่ากีสาโคตมี เพราะไม่ทรามด้วยพระรูปสิริและพระคุณสมบัติ เสด็จไปตามพื้นปราสาทชั้นบน ทรงเห็นพระรูปสิริของพระโพธิสัตว์กำลังเสด็จเข้าสู่พระนคร ทรงเกิดปิติโสมนัสขึ้นเอง ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
นิพฺพุตา นูน สา มาตา นิพฺพุโต นูน โส ปิตา
นิพฺพุตา นูน สา นารี ยสฺสายํ อีทิโส ปติ.
บุรุษเช่นนี้เป็นบุตรของมารดาผู้ใด มารดาผู้นั้นก็
เย็นใจแน่ เป็นบุตรของบิดาผู้ใด บิดาผู้นั้นก็เย็นใจแน่
เป็นสามีของนารีผู้ใด นารีผู้นั้นก็เย็นใจแน่.
พระโพธิสัตว์ทรงสดับอุทานนั้นแล้ว ทรงดำริว่า สตรีผู้นี้ให้เราได้ยินถ้อยคำที่น่าฟังอย่างดี ด้วยว่าเราก็กำลังเที่ยวแสวงหานิพพาน วันนี้นี่แหละควรที่เราจะละทิ้งฆราวาสวิสัยแล้วออกบวชแสวงหานิพพาน ทรงเปลื้องแก้วมุกดาหารออกจากพระศอ ทรงส่งแก้วมุกดาหารที่ทำความยินดีอย่างยิ่ง มีค่านับแสน แด่เจ้าหญิงกีสาโคตมี ด้วยหมายพระหฤทัยว่า แก้วมุกดาหารนี้จงเป็นสักการะส่วนบูชาอาจารย์สำหรับเจ้าหญิงพระองค์นี้.
เจ้าหญิงกีสาโคตมีนั้นเกิดโสมนัสว่า สิทธัตถะกุมารมีจิตปฏิพัทธ์ในเรา ทรงส่งบรรณาการมาประทาน.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นปราสาทที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ด้วยเหตุให้เกิดสิริยิ่งใหญ่ บรรทมเหนือพระที่บรรทม ในทันใดนั่นเอง เหล่าสตรีรุ่นๆ ทั้งหลายผู้มีดวงหน้างามเสมือนดวงจันทร์เต็มดวง มีริมฝีปากแดงเสมือนผลตำลึงสุก มีฟันขาวสะอาดเรียบมีระเบียบไม่มีร่อง มีดวงตาเขียวคราม มีมวยผม มีคิ้วโก่งเขียวจัดดังดอกอัญชัน มีเต้านมเอิบอิ่มเต็มเสมอเป็นระเบียบ มีตะโพกส่วนหน้าส่วนหลังผายคล่องแคล่ว ดังมณีเมขลาประดับด้วยทองและเงิน ทำความรื่นรมย์ มีลำขาทั้งคู่เฉกเช่นงวงกุญชร ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้องและบรรเลง มีรูปโฉมไฉไลเช่นเทพธิดา ถือดนตรีที่มีเสียงไพเราะ พากันมาห้อมล้อมพระมหาบุรุษนั้นให้ทรงรื่นเริง ประกอบการฟ้อน การขับร้องและบรรเลง.
แต่พระโพธิสัตว์ไม่ทรงยินดียิ่งในการฟ้อนการขับร้องเป็นต้น เพราะทรงมีจิตหน่ายในกิเลสทั้งหลาย บรรทมหลับไปครู่หนึ่ง.
สตรีเหล่านั้นเห็นพระโพธิสัตว์นั้น คิดว่า พวกเราประกอบการฟ้อนเป็นต้นเพื่อประโยชน์แก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นก็บรรทมหลับไปแล้ว บัดนี้ พวกเราจะลำบากเพื่อประโยชน์อะไรเล่า แล้วก็นอนทับดนตรีที่ต่างถือกันอยู่หลับไป ประทีปน้ำมันหอมก็ยังติดโพลงอยู่ พระโพธิสัตว์ทรงตื่นบรรทม ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่เหนือหลังพระที่บรรทม ทรงเห็นสตรีเหล่านั้นนอนทับเครื่องดนตรี มีน้ำลายไหล มีแก้มและเนื้อตัวสกปรก บางพวกกัดฟัน บางพวกกรน บางพวกละเมอ บางพวกอ้าปาก บางพวกผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ปรากฏที่น่ากลัวที่คับแคบ บางพวกมีผมปล่อยยุ่ง นอนทรงรูปเหมาะแก่ป่าช้า.
พระมหาสัตว์ทรงเห็นอาการแปลกๆ ของสตรีเหล่านั้น ก็ยิ่งทรงมีจิตหน่ายในกามทั้งหลายสุดประมาณ พื้นปราสาทที่ประดับตกแต่งแม้งดงามเสมือนภพท้าวสหัสสนัยน์ ก็ปรากฏแก่พระมหาสัตว์นั้น ปฏิกูลอย่างยิ่ง เหมือนป่าช้าผีดิบที่เต็มด้วยซากศพสรีระของคนตายที่เขาทอดทิ้งไว้ แม้ภพทั้งสามก็ปรากฏเสมือนภพที่ไฟไหม้ ทรงพร่ำบ่นว่า วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ พระหฤทัยก็น้อมไปเพื่อบรรพชาอย่างยิ่ง.
พระองค์ทรงดำริว่าวันนี้นี่แหละ เราควรออกมหาภิเนษกรมณ์ทรงลุกจากที่พระบรรทม เสด็จไปใกล้ประตู ตรัสถามว่าใครอยู่ที่นั่น. นายฉันนะนอนศีรษะใกล้ธรณีประตู ทูลว่า ข้าพระบาทฉันนะ พระลูกเจ้า.
ลำดับนั้น พระมหาบุรุษตรัสว่า วันนี้เราประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมณ์ เจ้าอย่าบอกใคร จงเตรียมสินธพเร็วฝีเท้าจัดไว้ตัวหนึ่งนะ.
นายฉันนะนั้นทูลรับพระดำรัสแล้วถือเครื่องประกอบม้าไปยังโรงม้า พบม้าฝีเท้าดีชื่อกัณฐกะ ย่ำยีข้าศึกได้ ยืน ณ ภูมิภาคน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ภายใต้เพดานแผ่นดอกมะลิ เมื่อประทีปน้ำมันหอมยังลุกโพลงอยู่คิดว่า วันนี้เราควรเตรียมม้ามงคลตัวนี้เพื่อพระลูกเจ้าออกอภิเนษกรมณ์ แล้วก็เตรียมม้ากัณฐกะไว้.
ม้ากัณฐกะนั้นเมื่อถูกจัดเตรียมไว้ก็รู้ว่า การจัดเตรียมนี้หนักนัก ไม่เหมือนการจัดเตรียมในเวลาเสด็จไปเล่นสวน วันอื่นๆ พระลูกเจ้าจักออกมหาภิเนษกรมณ์ในวันนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย. แต่นั้น ม้ากัณฐกะก็มีใจยินดีร้องดังลั่น เสียงร้องนั้นกังวาลไปทั่วกรุงกบิลพัสดุ์ แต่เทวดาปิดกั้นไว้ไม่ให้ใครๆ ได้ยิน.
พระโพธิสัตว์คิดว่าเราจักดูลูกเสียก่อน จึงลุกจากที่ประทับยืนอยู่ เสด็จไปยังที่ประทับอยู่ของพระมารดาพระราหุล ทรงเปิดประตูห้อง ขณะนั้นประทีปน้ำมันหอมในห้องยังติดโพลงอยู่ พระมารดาพระราหุลบรรทมวางพระหัตถ์ไว้เหนือกระหม่อมพระโอรสบนที่บรรทม อันเกลื่อนกล่นด้วยดอกมะลิเป็นต้นเป็นอัมพณะ.
พระโพธิสัตว์วางพระบาทที่ธรณีประตู ประทับยืนทรงมองดู ทรงดำริว่า ถ้าเราจักยกพระหัตถ์ของพระเทวีออกไปแล้วจับลูกเรา พระเทวีก็จักตื่นเมื่อเป็นดั่งนั้น อภิเนษกรมณ์ของเราก็จักเป็นอันตราย เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงค่อยมาดูลูกเรา เสด็จลงจากพื้นปราสาทแล้วเสด็จเข้าไปใกล้ม้าตรัสอย่างนี้ว่า พ่อกัณฐกะ วันนี้ เจ้าต้องให้เราข้ามไปราตรีหนึ่ง เราอาศัยเจ้าแล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า ยังโลกทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆะ แต่นั้นก็ทรงโดดขึ้นหลังม้ากัณฐกะ.
ม้ากัณฐะโดยส่วนยาวนับตั้งแต่คอก็ยาว ๑๘ ศอก ประกอบด้วยส่วนสูงพอเหมาะกับส่วนยาวนั้น ถึงพร้อมด้วยรูป ฝีเท้าและกำลังอันเลิศ ขาวปลอด สีสรรน่าดูเสมือนสังข์ขัด.
แต่นั้น พระโพธิสัตว์ประทับอยู่บนหลังม้าทรง โปรดให้นายฉันนะจับหางม้า ถึงประตูใหญ่แห่งพระนครตอนครึ่งคืน.
ครั้งนั้น แต่ก่อน พระราชาโปรดให้จัดบุรุษไว้คอยเปิดประตูๆ ละพันคน บรรดาบานประตู ๒ ประตู เพื่อห้ามพระโพธิสัตว์เสด็จไป ทรงวางบุรุษไว้เป็นอันมาก กองรักษาการณ์ ณ บานประตูนั้น.
ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ทรงกำลังเท่ากับบุรุษจำนวนแสนโกฏิ เท่ากับช้างจำนวนพันโกฏิ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงทรงดำริว่า ผิว่า ประตูไม่ยอมเปิด วันนี้เราจะนั่งหลังกัณฐกะ ให้นายฉันนะจับหาง เอาสองขาบีบกัณฐกะ โดดขึ้นผ่านกำแพง ๑๘ ศอก ไปพร้อมกับฉันนะเลย.
นายฉันนะก็คิดว่า ถ้าประตูไม่เปิด เราก็จะเอาพระลูกเจ้าขึ้นบนคอ เหวี่ยงกัณฐกะด้วยมือขวา หนีบไว้ที่รักแร้จะโดดขึ้นผ่านกำแพงไปได้.
ม้ากัณฐกะก็คิดว่า เมื่อประตูไม่เปิด เราก็จักประดิษฐานพระลูกเจ้าตามที่ประทับนั่งอยู่ โดดขึ้นไปพร้อมกับนายฉันนะที่จับหางไว้ โดดไว้ข้ามหน้ากำแพงไป.
ทั้งสามคนคิดเหมือนกันอย่างนี้ เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ประตูก็ช่วยกันเปิดประตูใหญ่.
ขณะนั้น มารผู้มีบาปคิดว่าจักให้พระมหาสัตว์กลับไป จึงมายืนอยู่กลางอากาศกล่าวว่า
| มา นิกฺขม มหาวีร | อิโต เต สตฺตเม ทิเน
| | ทิพฺพํ ตุ จกฺกรตนํ | อทฺธา ปาตุ ภวิสฺสติ.
| | ท่านมหาวีระ อย่าออกอภิเนษกรมณ์เลย นับแต่นี้
| | ไป ๗ วัน จักรรัตนะทิพย์จะปรากฏแก่ท่านแน่นอน. |
ท่านจักครองราชย์แห่งทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร กลับเสียเถิด ท่านผู้นิรทุกข์.
พระมหาบุรุษตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร.
มารตอบว่า เราเป็นผู้มีอำนาจ [มาร].
พระมหาบุรุษตรัสว่า
| ชานามหํ มหาราช | มยฺหํ จกฺกสฺส สมฺภวํ
| | อนตฺถิโกหํ รชฺเชน | คจฺฉ ตฺวํ มาร มา อิธ.
| | ดูก่อนมหาราช เรารู้ว่าจักกรัตนะจะปรากฏแก่เรา
| | แต่เราไม่ต้องการจักกวัตติราชย์ ไปเสียเถิดมาร
| | อย่ามาในที่นี้เลย. |
| สกลํ ทสสหสฺสมฺปิ | โลกธาตุมหํ ปน
| | อุนฺนาเทตฺวา ภวิสฺสามิ | พุทฺโธ โลเก วินายโก.
| | แต่เราจักเป็นพระพุทธเจ้า ผู้นำพิเศษในโลก
| | บันลือลั่นไปทั่วหมื่นโลกธาตุ. |
มารนั้นก็อันตรธานไปในที่นั้นนั่นเอง.
เวลาที่พระชนมายุ ๒๙ พรรษา พระมหาสัตว์ทรงทิ้งจักรวรรดิราชย์ที่ตกอยู่ในพระหัตถ์ ไม่ทรงเยื่อใยเหมือนก้อนเขฬะ เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์อันเป็นสิรินิวาสแห่งจักรพรรดิ เมื่อดาวนักษัตรอุตตราสาฬหะเพ็ญเดือนอาสาฬหะ เสด็จออกจากพระนคร ได้มีพระประสงค์จะทรงแลดูพระนคร ในลำดับแห่งความตรึกนั่นเอง ภูมิประเทศนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเหมือนจักรแป้นหมุนทำภาชนะดินแก่พระองค์.
พระมหาสัตว์ทรงยืนอยู่อย่างเดิม ทอดพระเนตรกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงกระตุ้นม้ากัณฐกะให้บ่ายหน้าไปตามทางที่พึงไป แสดงเจดียสถานชื่อกัณฐกนิวัตตนะ ที่ม้ากัณฐกะหันหน้ากลับ ณ ภูมิประเทศนั้น เสด็จไปด้วยสักการะยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุให้เกิดสิริอันโอฬาร.
ครั้งนั้น เมื่อพระมหาสัตว์กำลังเสด็จไป เทวดาทั้งหลายชูคบเพลิงจำนวนหกล้านดวงข้างหน้าพระมหาสัตว์นั้น ข้างหลังก็หกล้านดวงเหมือนกัน ข้างขวาก็หกล้านดวง ข้างซ้ายก็เหมือนกัน เทวดาพวกอื่นๆ อีกก็สักการะด้วยพวงมาลัยดอกไม้หอม จุรณจันทน์ พัดจามรและธงผ้าห้อมล้อมไป สังคีตทิพย์และดนตรีเป็นอันมากก็บรรเลงได้เอง.
พระโพธิสัตว์เสด็จไปด้วยเหตุที่ให้เกิดสิริอย่างนี้ เสด็จหนทาง ๓๐ โยชน์ผ่าน ๓ ราชอาณาจักร ราตรีเดียวเท่านั้นก็ถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงยืน ณ ริมฝั่งแม่น้ำ ตรัสถามนายฉันนะว่าแม่น้ำนี้ชื่อไร ทูลตอบว่า แม่น้ำอโนมา ทรงใช้ส้นพระบาท กระแทกม้าให้สัญญาณแก่ม้า ม้าก็โดดไปยืนอยู่ริมฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำซึ่งกว้าง ๘ อุสภะ. พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนที่หาดทรายเสมือนกองแก้วมุกดา เรียกนายฉันนะมาตรัสสั่งว่า สหายฉันนะ เจ้าจงนำอาภรณ์ของเรากับกัณฐกะกลับไป เราจักบวช.
นายฉันนะทูลว่า แม้ข้าพระบาทก็จักบวช พระลูกเจ้า.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า เจ้ายังบวชไม่ได้ เจ้าต้องกลับไป ทรงห้าม ๓ ครั้งแล้วทรงมอบอาภรณ์และม้ากัณฐกะแล้วทรงดำริว่า ผมของเราอย่างนี้ไม่เหมาะแก่สมณะ จำจักตัดผมเหล่านั้นด้วยพระขรรค์ ทรงจับพระขรรค์อันคมกริบด้วยพระหัตถ์ขวา รวบพระจุฬาพร้อมด้วยพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้ายแล้วตัด เหลือพระเกศาสององคุลีเวียนขวาติดพระเศียร พระเกสาเหล่านั้นก็มีประมาณเท่านั้น จนตลอดพระชนมชีพ ส่วนพระมัสสุก็เหมาะแก่ประมาณพระเกสานั้น แต่พระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องปลงพระเกศาและพระมัสสุอีกเลย.
พระโพธิสัตว์ทรงรวบพระจุฬาพร้อมด้วยพระเมาลี อธิษฐานว่า ถ้าเราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ผมนี้จงตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าไม่เป็นไซร้ ก็จงหล่นลงเหนือพื้นดิน แล้วเหวี่ยงไปในอากาศ กำพระจุฬามณีนั้น ไประยะประมาณโยชน์หนึ่งแล้วก็ตั้งอยู่ในอากาศ.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะเทวราชทรงตรวจดูด้วยจักษุทิพย์ ทรงเอาผอบรัตนะขนาดโยชน์หนึ่งรับกำพระจุฬามณีนั้น แล้วทรงสถาปนาเป็นพระจุฬามณีเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขนาด ๓ โยชน์ไว้ในภพดาวดึงส์.
ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เฉตฺวาน โมลึ วรคนฺธวาสิตํ
เวหายสํ อุกฺขิปิ อคฺคปุคฺคโล
สหสฺสเนตฺโต สิรสา ปฏิคฺคหิ
สุวณฺณจงฺโกฏวเรน วาสโว.
พระผู้เป็นบุคคลผู้เลิศทรงตัดพระเมาลีที่อบด้วยของหอม
อย่างดี ทรงเหวี่ยงขึ้นสู่อากาศ ท้าววาสวะสหัสสนัยน์ทรง
เอาผอบทองอย่างดีรับไว้ด้วยเศียรเกล้า.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริอีกว่า ผ้ากาสีเหล่านี้มีค่ามาก ไม่เหมาะแก่สมณะของเรา.
ลำดับนั้น ฆฏิการมหาพรหม สหายเก่าครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าของพระโพธิสัตว์นั้น ดำริโดยมิตรภาพที่ไม่ถึงความพินาศตลอดพุทธันดรหนึ่งว่า วันนี้ สหายเราออกอภิเนษกรมณ์ จำเราจักถือสมณบริขารไปเพื่อสหายนั้น จึงนำบริขาร ๘ เหล่านี้ไปถวาย คือ
| ติจีวรญฺจ ปตฺโต จ | วาสี สูจิ จ พนฺธนํ
| | ปริสฺสาวนญฺจ อฏฺเฐเต | ยุตฺตโยคสฺส ภิกฺขุโน.
| | บริขาร ๘ เหล่านี้คือ ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม
| | รัดประคดและผ้ากรองน้ำ เป็นของภิกษุผู้
| | ประกอบความเพียร. |
พระมหาบุรุษทรงบรรพชา
พระมหาบุรุษทรงครองผ้าธงชัยแห่งพระอรหันต์ ถือเพศบรรพชาสูงสุด ทรงเหวี่ยงคู่ผ้า [นุ่งห่ม] ไปในอากาศ.
ท้าวมหาพรหมรับคู่ผ้านั้นแล้วสร้างเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะขนาด ๑๒ โยชน์ในพรหมโลก บรรจุคู่ผ้านั้นไว้ข้างใน.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสกะนายฉันนะว่า ฉันนะเจ้าจงบอกแก่พระชนกพระชนนีตามคำของเราว่าเราสบายดี แล้วทรงส่งไป.
แต่นั้น นายฉันนะก็ถวายบังคมพระมหาบุรุษ ทำประทักษิณแล้วหลีกไป. ส่วนม้ากัณฐกะยืนฟังคำของพระโพธิสัตว์ผู้ปรึกษากับนายฉันนะ รู้ว่า บัดนี้เราจะไม่เห็นนายของเราอีก พอละสายตาของพระมหาบุรุษนั้น ไม่อาจทนวิปโยคทุกข์ได้ ก็หัวใจแตกตายไปบังเกิดเป็นเทพบุตรชื่อกัณฐกะ ในภพดาวดึงส์ ซึ่งเป็นภพที่ข้าศึกของเทวดาครอบงำได้แสนยาก.
การอุบัติของกัณฐกะเทพบุตรนั้น พึงถือเอาตามอรรถกถาวิมานวัตถุ ชื่อวิมลัตถวิลาสินี.
ความโศกได้มีแก่นายฉันนะเป็นครั้งที่ ๑ เพราะความตายของม้ากัณฐกะ นายฉันนะถูกความโศกครั้งที่ ๒ เบียดเบียนก็ร้องไห้คร่ำครวญ เดินทางไปด้วยความทุกข์.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงผนวชแล้ว ในประเทศนั้นนั่นแล มีสวนมะม่วงชื่ออนุปิยะ อยู่ จึงทรงยับยั้งอยู่ ณ อนุปิยอัมพวันนั้น ๗ วัน ด้วยความสุขในบรรพชาภายหลังจากนั้น ก็ทรงสำรวมด้วยผ้ากาสาวะอันดี เหมือนดวงรัชนีกรเต็มดวง สำรวมอยู่ในหมู่เมฆที่อาบด้วยแสงสนธยา แม้ลำพังพระองค์ก็รุ่งเรืองเหมือนชนเป็นอันมากแวดล้อมแล้ว ทรงทำบรรพชานั้นเหมือนน้ำอมฤตต้องตาของเหล่ามฤคและปักษีที่อยู่ป่า ทรงเที่ยวไปพระองค์เดียวเหมือนราชสีห์ ทรงเป็นนรสีหะ เหมือนควาญผู้รู้จักลีลาของช้างตกมันยังแผ่นดินให้เบาด้วยฝ่าเท้า เสด็จเดินทาง ๓๐ โยชน์ วันเดียวเท่านั้น ทรงข้ามแม่น้ำคงคาซึ่งคลั่งด้วยฤดูและคลื่น แต่ไม่ขัดข้อง เสด็จเข้าสู่นครราชคฤห์ เรือนหลวงอันแพรวพราวด้วยประกายแสงแห่งรัตนะ.
ครั้นเสด็จเข้าไปแล้วก็เที่ยวแสวงหาภิกษาตามลำดับตรอก. ทั่วทั้งนครนั้นก็สะเทือนเพราะการเห็นพระรูปของพระโพธิสัตว์ เหมือนนครนั้นสะเทือน เมื่อช้างธนบาลเข้าไป เหมือนเทวนครสะเทือน เมื่อจอมอสูรเข้าไป.
เมื่อพระมหาบุรุษเสด็จเที่ยวแสวงหาภิกษา พวกมนุษย์ชาวพระนครเกิดความอัศจรรย์สำหรับผู้เกิดปิติโสมนัส เพราะเห็นพระรูปของพระมหาสัตว์ ก็ได้มีใจนึกถึงการเห็นพระรูปของพระโพธิสัตว์.
บรรดามนุษย์เหล่านั้น มนุษย์ผู้หนึ่งกล่าวกะมนุษย์ผู้หนึ่งอย่างนี้ว่า ท่านเอย เหตุอะไรหนอ จันทรเพ็ญที่มีช่อรัศมีที่ถูกภัยคือราหูกำบังแล้ว ยังมาสู่มนุษยโลกได้. มนุษย์อื่นนอกจากนั้นก็ยิ้มพูดอย่างนี้ว่า พูดอะไรกันสหาย ท่านเคยเห็นจันทร์เพ็ญมาสู่มนุษยโลกกันเมื่อไร นั่นกามเทพมีดอกไม้เป็นธงมิใช่หรือ ท่านถือเพศอื่นเห็นความเจริญของลีลาอย่างยิ่งของมหาราชของเราและชาวเมือง จึงเสด็จมาเล่นด้วย. คนอื่นนอกจากนั้นก็ยิ้มพูดอย่างนี้ว่า ท่านเอย ท่านเป็นบ้ากันแล้วหรือ นั่นพระอินทรผู้มีสรีระร้อนเรืองด้วยความโหมของเพลิงยัญอันเรืองแรง ผู้เป็นท้าวสหัสนัยน์ เป็นเจ้าแห่งเทวดามาในที่นี้ด้วยความสำคัญว่าอมรปุระ. คนอื่นนอกจากนั้นหัวร่อนิดหน่อยแล้วกล่าวว่า ท่านเอย พูดอะไรกัน ท่านผิดทั้งคำต้นคำหลัง ท่านผู้นั้นมีพันตาที่ไหน มีวชิราวุธที่ไหน มีช้างเอราวัณที่ไหน ที่แท้ ท่านผู้นั้นเป็นพรหม ท่านรู้ว่าคนที่เป็นพราหมณ์ประมาทกันจึงมาเพื่อประกอบไว้ในพระเวทแล เวทางค์เป็นต้นต่างหากเล่า.
คนอื่นที่เป็นบัณฑิตก็ปรามคนเหล่านั้นทั้งหมดพูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้มิใช่พระจันทร์เพ็ญ มิใช่กามเทพ มิใช่ท้าวสหัสนัยน์ มิใช่พรหมทั้งนั้น แต่ท่านผู้นี้เป็นอัจฉริยมนุษย์ จะเป็นศาสดาผู้นำโลกทั้งปวง.
เมื่อชาวนครเจรจากันอยู่อย่างนี้ พวกราชบุรุษก็กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระเจ้าพิมพิสารว่า ข้าแต่สมมติเทพ เทพ คนธรรพ์หรือนาคราช ยักษ์ หรือใครหนอเที่ยวแสวงหาภิกษาในนครของเรา.
พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรงยืน ณ ประสาทชั้นบน ทรงเห็นพระมหาบุรุษเกิดจิตอัศจรรย์ไม่เคยมี ทรงสั่งพวกราชบุรุษว่า พวกท่านจงไปทดสอบท่านผู้นั้น ถ้าเป็นอมนุษย์ก็จักออกจากนครหายไป ถ้าเป็นเทวดาก็จักไปทางอากาศ ถ้าเป็นนาคราชก็จักมุดดิน ถ้าเป็นมนุษย์ก็จักบริโภคภิกษาตามที่ได้มา.
ฝ่ายพระมหาบุรุษมีอินทรีย์สงบ มีพระหฤทัยสงบเป็นประหนึ่งดึงดูดสายตามหาชน เพราะความงามแห่งพระรูป ทรงแลชั่วแอก รวบรวมอาหารระคนกัน พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ เสด็จออกจากนครทางประตูที่เสด็จเข้ามา บ่ายพระพักตร์ไปทางตะวันออกแห่งร่มเงาภูเขาปัณฑวะ ประทับนั่งพิจารณาอาหาร ไม่มีอาการผิดปกติเสวย.
แต่นั้น พวกราชบุรุษก็ไปกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา.
ลำดับนั้น พระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธพระนามว่าพิมพิสาร ผู้อันเหล่าพาลชนนึกถึงได้ยาก ผู้มีเขาพระเมรุและเขามันทาระเป็นสาระ ผู้ทรงเป็นแก่นสารแห่งสัตว์ ทรงมีความตื่นเต้นเพราะการเห็นที่เกิดเพราะได้สดับคุณของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ทรงรีบเสด็จออกจากพระนคร บ่ายพระพักตร์ตรงภูเขาปัณฑวะ เสด็จไปแล้วลงจากพระราชยาน เสด็จไปยังสำนักพระโพธิสัตว์ อันพระโพธิสัตว์ทรงอนุญาตแล้วประทับนั่งเหนือพื้นศิลา อันเย็นด้วยความรักของชนผู้เป็นพวกพ้องทรงเลื่อมใสในพระอิริยาบถของพระโพธิสัตว์ ทรงได้รับปฏิสันถารแล้ว ทรงถามถึงนามและโคตร ทรงมอบความเป็นใหญ่ทุกอย่างแด่พระโพธิสัตว์.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ข้าแต่พระมหาราช หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยวัตถุกามหรือกิเลสกาม หม่อมฉันปรารถนาแต่พระปรมาภิสัมโพธิญาณ จึงออกบวช.
พระราชาแม้ทรงอ้อนวอนหลายประการ ก็ไม่ได้น้ำพระหฤทัยของพระโพธิสัตว์ จึงตรัสว่า จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าแน่ จึงทูลว่า ก็พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้วโปรดเสด็จมาแคว้นของหม่อมฉันก่อน แล้วเสด็จเข้าสู่พระนคร.
อถ ราชคหํ วรราชคหํ
นรราชวเร นครํ ตุ คเต
คิริราชวโร มุนิราชวโร
มิคราชคโต สุคโตปิ คโต.
เมื่อพระนรราชผู้ประเสริฐ เสด็จสู่กรุงราชคฤห์
ซึ่งมีเรือนหลวงอย่างประเสริฐ พระจอมคีรีผู้ประเสริฐ
พระจอมมุนีผู้ประเสริฐ เสด็จไปเป็นเช่นพระยามฤค
[ราชสีห์] เสด็จไปแล้ว ชื่อว่าเสด็จไปดีแล้ว.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสด็จจาริกไปตามลำดับ เข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ยังสมาบัติ ๘ ให้เกิดแล้ว ทรงดำริว่า ทางนี้ไม่ใช่ทางแห่งพระโพธิญาณ ไม่ทรงใส่พระหฤทัยถึงสมาปัตติภาวนานั้นมีพระประสงค์จะทรงตั้งความเพียร จึงเสด็จไปยังอุรุเวลาทรงดำริว่า ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริงหนอ ทรงเข้าอยู่ ณ ตำบลนั้น ทรงตั้งความเพียรยิ่งใหญ่.
ชน ๕ คนเหล่านี้คือบุตรของพราหมณ์ผู้ทำนายพระมหาปุริสลักษณะ ๔ คนและพราหมณ์ชื่อโกณฑัญญะ บวชคอยอยู่ก่อน เที่ยวภิกษาจารไปในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย บำรุงพระโพธิสัตว์ ณ ที่นั้น.
ลำดับนั้น เมื่อพากันบำรุงพระโพธิสัตว์ผู้ตั้งความเพียรยิ่งใหญ่อยู่ถึง ๖ ปี ด้วยวัตรปฏิบัติมีกวาดบริเวณเป็นต้น ด้วยหวังอยู่ว่า พระโพธิสัตว์จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าบัดนี้ จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าบัดนี้ อยู่ประจำสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น.
แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงยับยั้งอยู่ด้วยงาและข้าวสารเมล็ดเดียว ด้วยทรงหมายจักทำทุกกรกิริยาอันถึงที่สุด ได้ทรงตัดอาหารโดยประการทั้งปวง. แม้เทวดาทั้งหลายก็นำทิพโอชะใส่ลงตามขุมขนทั้งหลาย.
ครั้งนั้น พระวรกายที่มีสีทองของพระองค์ผู้มีพระกายถึงความซูบผอมอย่างยิ่ง เพราะไม่มีอาหารนั้นก็มีสีดำ. พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ก็ถูกปกปิด.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงถึงที่สุดแห่งทุกกรกิริยา ทรงดำริว่า นี้ไม่ใช่ทางแห่งพระโพธิญาณ มีพระประสงค์จะเสวยอาหารหยาบ จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ คามนิคมทั้งหลาย เสวยพระกระยาหาร.
ลำดับนั้น พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ก็กลับเป็นปกติ พระวรกายมีสีเหมือนสีทอง.
ขณะนั้น ภิกษุปัญจวัคคีย์เห็นพระองค์ ก็คิดว่า ท่านผู้นี้แม้ทำทุกกรกิริยามา ๖ ปีก็ไม่อาจแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณได้ มาบัดนี้ยังเที่ยวบิณฑบาตไปในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย บริโภคอาหารหยาบจักอาจได้อย่างไร ท่านผู้นี้มักมากคลายความเพียร ประโยชน์อะไรของเราด้วยท่านผู้นี้ แล้วก็ละพระมหาบุรุษ พากันไปยังป่าอิสิปตนะ กรุงพาราณสี.
สมัยนั้น วันวิสาขบูรณมี พระมหาบุรุษเสวยข้าวมธุปายาสซึ่งเทวดาใส่ทิพโอชะ อันหญิงวัยรุ่นชื่อสุชาดา ผู้บังเกิดในครอบครัวของเสนานีกุฎุมพี ตำบลอุรุเวลา เสนานิคมถวายแล้ว ทรงถือถาดทองวางลงสู่กระแสแม่น้ำเนรัญชรา ปลุกพระยากาฬนาคราชผู้หลับให้ตื่นแล้ว.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ทรงพักกลางวัน ณ สาลวันซึ่งประดับด้วยดอกไม้หอม มีแสงสีเขียว น่ารื่นรมย์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราเวลาเย็น เสด็จมุ่งตรงไปยังต้นโพธิพฤกษ์ตามทางที่เทวดาทั้งหลายประดับแล้ว. เทวดานาคยักษ์สิทธาเป็นต้นพากันบูชาด้วยดอกไม้ของหอมเครื่องลูบไล้.
สมัยนั้น คนหาหญ้าชื่อโสตถิยะ ถือหญ้าเดินสวนทางมา รู้อาการของพระมหาบุรุษ จึงถวายหญ้า ๘ กำ.
พระโพธิสัตว์ทรงรับหญ้าแล้วเสด็จเข้าไปยังโคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ ซึ่งเป็นวิชัยพฤกษ์อันรุ่งโรจน์กว่าหมู่ต้นไม้ทั้งหลาย คล้ายอัญชันคิรีสีเขียวคราม ประหนึ่งช่วยบรรเทาแสงทินกร มีร่มเงาเย็น เย็นด้วยพระกรุณา ดังพระหฤทัยของพระองค์ เว้นจากการชุมนุมของวิหคนานาชนิด ประดับด้วยกิ่งอันทึบต้องลมอ่อนๆ โชยมาประหนึ่งฟ้อนรำ และประดุจยินดีด้วยปิติ ทรงทำประทักษิณพญาอัสสัตถพฤกษ์ ๓ ครั้ง ประทับยืนทางทิศอีสาน ทรงจับยอดหญ้าเขย่า.
ทันใดนั่นเองก็มีบัลลังก์ ๑๔ ศอก หญ้าเหล่านั้นก็เป็นเหมือนจิตรกรวาดไว้. พระโพธิสัตว์ประทับนั่งขัดสมาธิเหนือสันถัตหญ้า ๑๔ ศอก ทรงอธิษฐานความเพียรประกอบด้วยองค์ ๔ ทรงทำลำต้นโพธิพฤกษ์ ๕๐ ศอกไว้เบื้องหลัง ดังลำต้นเงินที่เขาวางไว้เหนือตั่งทอง กั้นด้วยกิ่งโพธิพฤกษ์เหมือนฉัตรมณีไว้เบื้องบน ประทับนั่ง. ก็ยอดอ่อนโพธิพฤกษ์ล่วงลงมาที่จีวรสีทองของพระองค์ ก็รุ่งโรจน์เหมือนวางแก้วประพาฬไว้ที่แผ่นทอง.
เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์นั้นวสวัตดีมารเทพบุตรคิดว่าสิทธัตถกุมารประสงค์จะล่วงวิสัยของเรา บัดนี้เราจักไม่ให้สิทธัตถะกุมารนั้นล่วงวิสัย จึงบอกความนั้นแก่กองกำลังของมาร แล้วพากองกำลังมารออกไป.
ได้ยินว่า ทัพมารนั้นข้างหน้าของมารก็ขนาด ๑๒ โยชน์ ข้างขวาและข้างซ้ายก็อย่างนั้น แต่ข้างหลังตั้งอยู่สุดจักรวาล เบื้องบนสูง ๙ โยชน์. ได้ยินเสียงคำรามดังเสียงแผ่นดินคำราม ตั้งแต่เก้าพันโยชน์.
พระมหาบุรุษทรงกำจัดมาร
สมัยนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงยืนเป่าสังข์ชื่อวิชยุตตระ เขาว่าสังข์นั้นยาวสองพันศอก. คนธรรพ์เทพบุตรชื่อปัญจสิขะ ถือพิณสีเหลืองดังผลมะตูม ยาวสามคาวุตบรรเลง ยืนขับร้องเพลงประกอบด้วยมงคล. ท้าวสุยามเทวราชทรงถือทิพยจามร อันมีสิริดังดวงจันทร์ยามฤดูสารท ยาวสามคาวุต ยืนถวายงานพัดลมอ่อนๆ. ส่วนท้าวสหัมบดีพรหมยืนกั้นฉัตรดังจันทร์ดวงที่สอง กว้างสามโยชน์ ไว้เบื้องบนพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้แต่มหากาฬนาคราชอัน |