ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์
ติกนิเทศ
[๙๒๖] ในติกมาติกาเหล่านั้น อกุศลมูล ๓ เป็นไฉน โลภะ โทสะ โมหะ บรรดาอกุศลมูล ๓ นั้น โลภะ เป็นไฉน ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ความคล้อยตามอารมณ์ ความยินดี ความเพลิดเพลิน ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ความกำหนัดนักแห่งจิต ความอยาก ความสยบ ความหมกมุ่น ความใคร่ ความรักใคร่ ความข้องอยู่ ความจมอยู่ ธรรมชาติผู้คร่าไป ธรรมชาติผู้หลอกลวง ธรรมชาติผู้ยังสัตว์ให้เกิด ธรรมชาติผู้ยังให้เกิดพร้อม ธรรมชาติอันร้อยรัด ธรรมชาติอันมีข่าย ธรรมชาติ อันกำซาบใจ ธรรมชาติอันซ่านไป ธรรมชาติเหมือนเส้นด้าย ธรรมชาติอันแผ่ไป ธรรมชาติผู้ประมวลมา ธรรมชาติเป็นเพื่อนสองปณิธาน ธรรมชาติผู้นำไปสู่ภพ ตัณหาเหมือนป่า ตัณหาเหมือนดง ความเกี่ยวข้อง ความเยื่อใย ความห่วงใย ความผูกพัน การหวัง กิริยาที่หวัง สภาพที่หวัง ความหวังรูป ความหวังเสียง ความหวังกลิ่น ความหวังรส ความหวังโผฏฐัพพะ ความหวังลาภ ความหวังทรัพย์ ความหวังบุตร ความหวังชีวิต ธรรมชาติผู้กระซิบ ธรรมชาติผู้กระซิบทั่ว ธรรมชาติ ผู้กระซิบยิ่ง การกระซิบ กิริยาที่กระซิบ สภาพที่กระซิบ การละโมภ กิริยาที่ ละโมภ สภาพที่ละโมภ ธรรมชาติที่เป็นเหตุซมซานไป ความใคร่ในอารมณ์ดีๆ ความกำหนัดในฐานะอันไม่ควร ความโลภเกินขนาด ความติดใจ กิริยาที่ติดใจ ความปรารถนา ความกระหยิ่มใจ ความปรารถนานัก กามตัณหา ภวตัณหา วิภว- *ตัณหา ตัณหาในรูปภพ ตัณหาในอรูปภพ ตัณหาในนิโรธ (คือ ราคะที่สหรคต ด้วยอุจเฉททิฏฐิ) รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา โอฆะ โยคะ คันถะ อุปาทาน อาวรณ์ นิวรณ์ เครื่องปิดบัง เครื่องผูก อุปกิเลส อนุสัย ปริยุฏฐาน ตัณหาเหมือนเถาวัลย์ ความปรารถนา วัตถุมีอย่างต่างๆ รากเหง้าแห่งทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ แดนเกิดแห่งทุกข์ บ่วงแห่ง มาร เบ็ดแห่งมาร แดนแห่งมาร ตัณหาเหมือนแม่น้ำ ตัณหาเหมือนข่าย ตัณหา เหมือนเชือกผูก ตัณหาเหมือนสมุทร อภิชฌา อกุศลมูลคือโลภะ อันใด นี้เรียกว่า โลภะ โทสะ เป็นไฉน ความอาฆาตย่อมเกิดขึ้นด้วยคิดว่า ผู้นี้ได้กระทำความเสื่อมเสียแก่เราแล้ว ความอาฆาตย่อมเกิดขึ้นด้วยคิดว่า ผู้นี้กำลังทำความเสื่อมเสียแก่เรา ความอาฆาต ย่อมเกิดขึ้นด้วยคิดว่า ผู้นี้จักทำความเสื่อมเสียแก่เรา ความอาฆาตย่อมเกิดขึ้นด้วย คิดว่า ผู้นี้ได้ทำความเสื่อมเสียแก่คนผู้เป็นที่รักที่ชอบพอของเราแล้ว ความอาฆาต ย่อมเกิดขึ้นด้วยคิดว่า ผู้นี้กำลังทำความเสื่อมเสียแก่คนผู้เป็นที่รักที่ชอบพอของเรา ความอาฆาตย่อมเกิดขึ้นด้วยคิดว่า ผู้นี้จักทำความเสื่อมเสียแก่คนผู้เป็นที่รักที่ชอบ พอของเรา ความอาฆาตย่อมเกิดขึ้นด้วยคิดว่า ผู้นี้ได้ทำความเจริญแก่คนผู้ไม่เป็น ที่รักไม่เป็นที่ชอบพอของเราแล้ว ความอาฆาตย่อมเกิดขึ้นด้วยคิดว่า ผู้นี้กำลังทำ ความเจริญแก่ผู้ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบพอของเรา ความอาฆาตย่อมเกิดขึ้นด้วย คิดว่า ผู้นี้จักทำความเจริญแก่คนผู้ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบพอของเรา หรือความ อาฆาตย่อมเกิดขึ้นในฐานะอันใช่เหตุ ความอาฆาตแห่งจิต การกระทบกระทั่ง ความกระทบกระทั่ง ความยินร้าย ความขุ่นเคือง การขุ่นเคือง ความขุ่นเคือง อย่างแรง ความคิดประทุษร้าย การมุ่งคิดประทุษร้าย ความมุ่งคิดประทุษร้าย ความ พยาบาทแห่งจิต ความคิดประทุษร้ายทางใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ สภาพที่ โกรธ ความคิดประทุษร้าย กิริยาที่คิดประทุษร้าย สภาพที่คิดประทุษร้าย ความ คิดปองร้าย กิริยาที่คิดปองร้าย สภาพที่คิดปองร้าย การยินร้าย ความยินร้าย ความดุร้าย ความปากร้าย ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า โทสะ โมหะ เป็นไฉน ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ ความ ไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความไม่รู้ในส่วนอดีต ความไม่รู้ในส่วนอนาคต ความไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต ความไม่รู้ในธรรมอันเป็นปัจจัยของกัน และกันและอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ความไม่รู้ ความไม่เห็น ความไม่ตรัสรู้ ความไม่รู้โดยสมควร ความไม่รู้ตามเป็นจริง ความไม่แทงตลอด ความไม่ถือเอา โดยถูกต้อง ความไม่หยั่งลงโดยรอบคอบ ความไม่พินิจ ความไม่พิจารณา การ ไม่กระทำให้ประจักษ์ ความทรามปัญญา ความโง่เขลา ความไม่รู้ชัด ความหลง ความลุ่มหลง ความหลงไหล อวิชชา โอฆะคืออวิชชา โยคะคืออวิชชา อนุสัย คืออวิชชา ปริยุฏฐานคืออวิชชา ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ อันใด มี ลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า โมหะ เหล่านี้เรียกว่า อกุศลมูล ๓ [๙๒๗] อกุศลวิตก ๓ เป็นไฉน กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก บรรดาวิตก ๓ นั้น กามวิตก เป็นไฉน ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ ความดำริผิด อันเกี่ยวด้วยกาม นี้เรียกว่า กามวิตก พยาบาทวิตก เป็นไฉน ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ ความดำริผิด อันเกี่ยวด้วยความ พยาบาท นี้เรียกว่า พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก เป็นไฉน ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ ความดำริผิด อันเกี่ยวด้วยความ เบียดเบียน นี้เรียกว่า วิหิงสาวิตก เหล่านี้เรียกว่า อกุศลวิตก ๓ [๙๒๘] อกุศลสัญญา ๓ เป็นไฉน กามสัญญา พยาบาทสัญญา วิหิงสาสัญญา บรรดาสัญญา ๓ นั้น กามสัญญา เป็นไฉน ความจำ กิริยาที่จำ สภาพที่จำ อันเกี่ยวด้วยกาม นี้เรียกว่า กามสัญญา พยาบาทสัญญา เป็นไฉน ความจำ กิริยาที่จำ สภาพที่จำ เกี่ยวด้วยพยาบาท นี้เรียกว่า พยาบาท สัญญา วิหิงสาสัญญา เป็นไฉน ความจำ กิริยาที่จำ สภาพที่จำ อันเกี่ยวด้วยความเบียดเบียน นี้เรียกว่า วิหิงสาสัญญา เหล่านี้เรียกว่า อกุศลสัญญา ๓ [๙๒๙] อกุศลธาตุ ๓ เป็นไฉน กามธาตุ พยาบาทธาตุ วิหิงสาธาตุ บรรดาอกุศลธาตุ ๓ นั้น กามธาตุ เป็นไฉน กามวิตก จัดเป็นกามธาตุ พยาบาทวิตก จัดเป็นพยาบาทธาตุ วิหิงสา วิตก จัดเป็นวิหิงสาธาตุ บรรดาวิตก ๓ นั้น กามวิตก เป็นไฉน ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ ความดำริผิด อันเกี่ยวด้วยกาม นี้เรียกว่า กามวิตก พยาบาทวิตก เป็นไฉน ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ ความดำริผิด อันเกี่ยวด้วยความ พยาบาท นี้เรียกว่า พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก เป็นไฉน ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ ความดำริผิด อันเกี่ยวด้วยความ เบียดเบียน นี้เรียกว่า วิหิงสาวิตก เหล่านี้เรียกว่า อกุศลธาตุ ๓ [๙๓๐] ทุจริต ๓ เป็นไฉน กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต บรรดาทุจริต ๓ นั้น กายทุจริต เป็นไฉน ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร นี้เรียกว่า กายทุจริต วจีทุจริต เป็นไฉน มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ นี้เรียกว่า วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นไฉน อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ นี้เรียกว่า มโนทุจริต กายทุจริต เป็นไฉน กายกรรมฝ่ายอกุศล ชื่อว่า กายทุจริต วจีกรรมฝ่ายอกุศล ชื่อว่า วจีทุจริต มโนกรรมฝ่ายอกุศล ชื่อว่า มโนทุจริต บรรดาทุจริต ๓ นั้น กายกรรมฝ่ายอกุศล เป็นไฉน กายสัญเจตนาฝ่ายอกุศล ชื่อว่า กายกรรมฝ่ายอกุศล วจีสัญเจตนาฝ่ายอกุศล ชื่อว่า วจีกรรมฝ่ายอกุศล มโนสัญเจตนาฝ่ายอกุศล ชื่อว่า มโนกรรมฝ่ายอกุศล เหล่านี้เรียกว่า ทุจริต ๓ [๙๓๑] อาสวะ ๓ เป็นไฉน กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ บรรดาอาสวะ ๓ นั้น กามาสวะ เป็นไฉน ความพอใจในกาม ฯลฯ ความหมกมุ่นในกาม อันใด นี้เรียกว่า กามาสวะ ภวาสวะ เป็นไฉน ความพอใจในภพ ฯลฯ ความหมกมุ่นในภพ อันใด นี้เรียกว่า ภวาสวะ อวิชชาสวะ เป็นไฉน ความไม่รู้ในทุกข์ ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือ โมหะ นี้เรียกว่า อวิชชาสวะ เหล่านี้เรียกว่า อาสวะ ๓ [๙๓๒] สัญโญชน์ ๓ เป็นไฉน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส บรรดาสัญโญชน์ ๓ เหล่านั้น สักกายทิฏฐิ เป็นไฉน ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไร้การศึกษา ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดใน ธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้เห็น สัปบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมเห็นรูปเป็นตน หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป ย่อมเห็น เวทนาเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสัญญาเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสังขารเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณเป็นตน หรือเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน เห็นตนใน วิญญาณ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือเอาโดยวิปลาส อันใด มี ลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา เป็นไฉน ปุถุชนเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา เคลือบแคลงสงสัยในพระธรรม เคลือบแคลงสงสัยในพระสงฆ์ เคลือบแคลงสงสัยในสิกขา เคลือบแคลงสงสัย ในส่วนอดีต เคลือบแคลงสงสัยในส่วนอนาคต เคลือบแคลงสงสัยทั้งในส่วนอดีต และส่วนอนาคต เคลือบแคลงสงสัยในธรรมอันเป็นปัจจัยของกันและกันและ อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ความเคลือบแคลง กิริยาที่เคลือบแคลง สภาพที่ เคลือบแคลง ฯลฯ ความกระด้างแห่งจิต ความลังเลใจ อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เป็นไฉน สมณพราหมณ์ภายนอกศาสนานี้ มีความเห็นว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้ ด้วยศีล ด้วยวัตร ด้วยศีลและวัตร ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือเอาโดยวิปลาส อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า สีลัพพตปรามาส เหล่านี้เรียกว่า สัญโญชน์ ๓ [๙๓๓] ตัณหา ๓ เป็นไฉน กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา บรรดาตัณหา ๓ นั้น ภวตัณหา เป็นไฉน ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันสหรคต ด้วยภวทิฏฐิ นี้เรียกว่า ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นไฉน ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันสหรคต ด้วยอุจเฉททิฏฐิ นี้เรียกว่า วิภวตัณหา ตัณหาที่เหลือนอกนั้น เรียกว่า กามตัณหา บรรดาตัณหา ๓ นั้น กามตัณหา เป็นไฉน ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันประกอบ ด้วยกามธาตุ นี้เรียกว่า กามตัณหา ความกำหนัด ความกำหนัดนักแห่งจิต ฯลฯ อันประกอบด้วยรูปธาตุและ อรูปธาตุ เรียกว่า ภวตัณหา ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันสหรคต ด้วยอุจเฉททิฏฐิ นี้เรียกว่า วิภวตัณหา เหล่านี้เรียกว่า ตัณหา ๓ [๙๓๔] ตัณหา ๓ แม้อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน กามตัณหา รูปตัณหา อรูปตัณหา บรรดาตัณหา ๓ นั้น กามตัณหา เป็นไฉน ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันประกอบ ด้วยกามธาตุ นี้เรียกว่า กามตัณหา รูปตัณหา เป็นไฉน ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันประกอบ ด้วยรูปธาตุ นี้เรียกว่า รูปตัณหา อรูปตัณหา เป็นไฉน ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันประกอบ ด้วยอรูปธาตุ นี้เรียกว่า อรูปตัณหา เหล่านี้เรียกว่า ตัณหา ๓ [๙๓๕] ตัณหา ๓ แม้อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน รูปตัณหา อรูปตัณหา นิโรธตัณหา บรรดาตัณหา ๓ นั้น รูปตัณหา เป็นไฉน ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันประกอบ ด้วยรูปธาตุ นี้เรียกว่า รูปตัณหา อรูปตัณหา เป็นไฉน ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันประกอบ ด้วยอรูปธาตุ นี้เรียกว่า อรูปตัณหา นิโรธตัณหา เป็นไฉน ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันสหรคต ด้วยอุจเฉททิฏฐิ นี้เรียกว่า นิโรธตัณหา เหล่านี้เรียกว่า ตัณหา ๓ [๙๓๖] เอสนา ๓ เป็นไฉน กาเมสนา ภเวสนา พรหมจริเยสนา บรรดาเอสนา ๓ นั้น กาเมสนา เป็นไฉน ความพอใจในกาม ฯลฯ ความหมกมุ่นในกาม อันใด นี้เรียกว่า กาเมสนา ภเวสนา เป็นไฉน ความพอใจในภพ ฯลฯ ความหมกมุ่นในภพ อันใด นี้เรียกว่า ภเวสนา พรหมจริเยสนา เป็นไฉน ความเห็นว่าโลกเที่ยง หรือความเห็นว่าโลกไม่เที่ยง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายจะเกิดอีกก็หามิได้ จะไม่เกิดอีกก็หามิได้ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้าง ทิฏฐิ ฯลฯ การถือเอาโดยวิปลาส อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า พรหม- *จริเยสนา บรรดาเอสนา ๓ นั้น กาเมสนา เป็นไฉน ความกำหนัดในกาม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันเป็นอกุศล ตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับความกำหนัดในกามนั้น นี้เรียกว่า กาเมสนา ภเวสนา เป็นไฉน ความกำหนัดในภพ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันเป็นอกุศล ตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับความกำหนัดในภพนั้น นี้เรียกว่า ภเวสนา ความเห็นว่าโลกมีที่สุด กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันเป็นอกุศล ตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับความเห็นว่าโลกมีที่สุดนั้น นี้เรียกว่า พรหมจริเยสนา เหล่านี้เรียกว่า เอสนา ๓ [๙๓๗] วิธา ๓ เป็นไฉน ความถือตัวว่าประเสริฐกว่าเขา ความถือตัวว่าเสมอเขา ความถือตัวว่า เลวกว่าเขา เหล่านี้เรียกว่า วิธา ๓ [๙๓๘] ภัย ๓ เป็นไฉน ชาติภัย ชราภัย มรณภัย บรรดาภัย ๓ นั้น ชาติภัย เป็นไฉน ความกลัว ความขลาด ความหวาดเสียว ความชูชันแห่งขน ความสะดุ้ง แห่งจิต เพราะอาศัยความเกิด นี้เรียกว่า ชาติภัย ชราภัย เป็นไฉน ความกลัว ความขลาด ความหวาดเสียว ความชูชันแห่งขน ความสะดุ้ง แห่งจิต เพราะอาศัยชรา นี้เรียกว่า ชราภัย มรณภัย เป็นไฉน ความกลัว ความขลาด ความหวาดเสียว ความชูชันแห่งขน ความสะดุ้ง แห่งจิต เพราะอาศัยความตาย นี้เรียกว่า มรณภัย เหล่านี้เรียกว่า ภัย ๓ [๙๓๙] ตมะ ๓ เป็นไฉน บุคคลย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ปรารภ- *อดีตกาล ย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ปรารภอนาคตกาล ย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ปรารภปัจจุบันกาล เหล่านี้เรียกว่า ตมะ ๓ [๙๔๐] ติตถายตนะ ๓ เป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็น อย่างนี้ว่า คนเรานี้ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง อย่างใด อย่างหนึ่ง ย่อมได้เสวยสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหมดนั้น เพราะได้ทำเหตุไว้ ในปางก่อน สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็น อย่างนี้ว่า คนเรานี้ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง อย่างใด อย่างหนึ่ง ย่อมได้เสวยสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหมดนั้น เพราะเหตุคือมีผู้ เป็นใหญ่สร้างให้ สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็น อย่างนี้ว่า คนเรานี้ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง อย่างใด อย่างหนึ่ง ย่อมได้เสวยสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหมดนั้น โดยไม่มีเหตุไม่มี ปัจจัย เหล่านี้เรียกว่า ติตถายตนะ ๓ [๙๔๑] กิญจนะ ๓ เป็นไฉน กิเลสเครื่องกังวลคือราคะ กิเลสเครื่องกังวลคือโทสะ กิเลสเครื่องกังวล คือโมหะ เหล่านี้เรียกว่า กิญจนะ ๓ [๙๔๒] อังคณะ ๓ เป็นไฉน กิเลสเพียงดังเนินคือราคะ กิเลสเพียงดังเนินคือโทสะ กิเลสเพียงดังเนิน คือโมหะ เหล่านี้เรียกว่า อังคณะ ๓ [๙๔๓] มละ ๓ เป็นไฉน มลทินคือราคะ มลทินคือโทสะ มลทินคือโมหะ เหล่านี้เรียกว่า มละ ๓ [๙๔๔] วิสมะ ๓ เป็นไฉน ความไม่สม่ำเสมอคือราคะ ความไม่สม่ำเสมอคือโทสะ ความไม่สม่ำ เสมอคือโมหะ เหล่านี้เรียกว่า วิสมะ ๓ [๙๔๕] วิสมะ ๓ แม้อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน ความประพฤติไม่สม่ำเสมอทางกาย ความประพฤติไม่สม่ำเสมอทางวาจา ความประพฤติไม่สม่ำเสมอทางใจ เหล่านี้เรียกว่า วิสมะ ๓ [๙๔๖] อัคคิ ๓ เป็นไฉน ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ เหล่านี้เรียกว่า อัคคิ ๓ [๙๔๗] กสาวะ ๓ เป็นไฉน น้ำฝาดคือราคะ น้ำฝาดคือโทสะ น้ำฝาดคือโมหะ เหล่านี้เรียกว่ากสาวะ ๓ [๙๔๘] กสาวะ ๓ แม้อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน น้ำฝาดทางกาย น้ำฝาดทางวาจา น้ำฝาดทางใจ เหล่านี้เรียกว่า กสาวะ ๓ [๙๔๙] อัสสาททิฏฐิ ความเห็นผิดอันประกอบด้วยความยินดี เป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็น อย่างนี้ว่า กามทั้งหลายไม่มีโทษ ดังนี้ เขาจึงบริโภคกาม นี้เรียกว่า อัสสาททิฏฐิ ความเห็นผิดอันประกอบด้วยความยินดี อัตตานุทิฏฐิ ความตามเห็นว่ามีอัตตาตัวตน เป็นไฉน ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไร้การศึกษา ไม่ได้เห็นพระอริยะเจ้า ไม่ฉลาดใน ธรรมของพระอริยะเจ้า ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะเจ้า ไม่ได้เห็น สัปบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมเห็นรูปเป็นตน หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป ย่อมเห็น เวทนาเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสัญญาเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสังขารเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณเป็นตน หรือเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน เห็นตนใน วิญญาณ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือเอาโดยวิปลาส อันใด มี ลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อัตตานุทิฏฐิ ความตามเห็นว่ามีอัตตาตัวตน มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด เป็นไฉน ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ฯลฯ สมณะ หรือพราหมณ์ผู้รู้ยิ่งเห็นจริงประจักษ์ซึ่งโลกนี้ และโลกหน้าด้วยตนเอง แล้วประกาศ ให้ผู้อื่นรู้ได้ ไม่มีในโลกนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือเอาโดย วิปลาส อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ สัสสตทิฏฐิ จัดเป็น อัสสาททิฏฐิ สักกายทิฏฐิ จัดเป็นอัตตานุทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ [๙๕๐] อรติ ความไม่ยินดี เป็นไฉน ความไม่ยินดี กิริยาที่ไม่ยินดี ความไม่ยินดียิ่ง กิริยาที่ไม่ยินดียิ่ง ความ กระสัน ความดิ้นรน ในเสนาสนะอันสงัด หรือในอธิกุศลธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง นี้เรียกว่า อรติ ความไม่ยินดี วิเหสา ความเบียดเบียน เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือบ้าง ก้อน ดินบ้าง ท่อนไม้บ้าง ศาตราบ้าง เชือกบ้าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ความบีบคั้น ความบีบคั้นยิ่ง ความเบียดเบียน ความเบียดเบียนยิ่ง ความทำให้เดือดร้อน ความ ทำให้เดือดร้อนยิ่ง ความทำร้ายสัตว์อื่น อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า วิเหสา ความเบียดเบียน อธัมมจริยา ความประพฤติไม่เป็นธรรม เป็นไฉน ความประพฤติไม่เป็นธรรมทางกาย ความประพฤติไม่สม่ำเสมอทางกาย ความประพฤติไม่เป็นธรรมทางวาจา ความประพฤติไม่สม่ำเสมอทางวาจา ความ ประพฤติไม่เป็นธรรมทางใจ ความประพฤติไม่สม่ำเสมอทางใจ นี้เรียกว่า อธัมม- *จริยา ความประพฤติไม่เป็นธรรม [๙๕๑] โทวจัสสตา ความเป็นผู้ว่ายาก เป็นไฉน กิริยาที่เป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้ว่ายาก สภาพที่เป็นผู้ว่ายาก ความยึดถือ ข้างขัดขืน ความพอใจทางโต้แย้ง กิริยาที่ไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่ เคารพ ความไม่เชื่อฟัง ในเมื่อถูกว่ากล่าวโดยสหธรรม นี้เรียกว่า โทวจัสสตา ความเป็นผู้ว่ายาก ปาปมิตตตา ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว เป็นไฉน บุคคลเหล่าใดไม่มีศรัทธา ไม่มีศีล มีการศึกษาน้อย มีความตระหนี่ มีปัญญาทราม การเสพ การเสพเป็นนิตย์ การเสพด้วยดี การคบ การคบด้วยดี ความภักดี ความจงรักภักดีแก่บุคคลเหล่านั้น ความเป็นผู้โน้มน้าวไปตามบุคคล เหล่านั้น อันใด นี้เรียกว่า ปาปมิตตตา ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว นานัตตสัญญา สัญญาต่างๆ เป็นไฉน สัญญาที่เกี่ยวด้วยกาม สัญญาที่เกี่ยวด้วยพยาบาท สัญญาที่เกี่ยวด้วย ความเบียดเบียน นี้เรียกว่า นานัตตสัญญา สัญญาต่างๆ อกุศลสัญญา แม้ ทั้งหมด ก็เรียกว่า นานัตตสัญญา [๙๕๒] อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน เป็นไฉน ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความกวัดแกว่งแห่งจิต ความ พล่านแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน โกสัชชะ ความเกียจคร้าน เป็นไฉน การปล่อยจิต ความเพิ่มพูนการปล่อยจิตไปในกายทุจริต วจีทุจริต มโน- *ทุจริต หรือในกามคุณ ๕ หรือความทำโดยความไม่เคารพ ความทำโดยไม่ติดต่อ ความทำโดยไม่มั่นคง ความประพฤติย่อหย่อน ความทอดทิ้งฉันทะ ความทอดทิ้ง ธุระ ความไม่เสพให้มาก ความไม่ทำให้เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความไม่ตั้งมั่น ความไม่ประกอบเนืองๆ ความประมาท ในการเจริญกุศลธรรมทั้งหลาย นี้เรียกว่า โกสัชชะ ความเกียจคร้าน ปมาทะ ความประมาท เป็นไฉน การปล่อยจิต ความเพิ่มพูนการปล่อยจิตไปในกายทุจริต วจีทุจริต มโน- *ทุจริต หรือในกามคุณ ๕ หรือความทำโดยความไม่เคารพ ความทำโดยไม่ติดต่อ ความทำโดยไม่มั่นคง ความประพฤติย่อหย่อน ความทอดทิ้งฉันทะ ความทอดทิ้ง ธุระ ความไม่เสพให้มาก ความไม่ทำให้เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความไม่ตั้งมั่น ความไม่ประกอบเนืองๆ ความประมาท ในการเจริญกุศลธรรมทั้งหลาย ความ ประมาท กิริยาที่ประมาท สภาพที่ประมาท อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ปมาทะ ความประมาท [๙๕๓] อสันตุฏฐิตา ความไม่สันโดษ เป็นไฉน ความอยากได้มากยิ่ง ของบุคคลผู้ไม่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยเภสัช และบริขาร ตามมีตามได้หรือด้วยกามคุณ ๕ ความปรารถนา การปรารถนา ความไม่สันโดษ ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันใดมีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อสันตุฏฐิตา ความ ไม่สันโดษ อสัมปชัญญตา ความเป็นผู้ไม่มีสัมปชัญญะ เป็นไฉน ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือ โมหะ อันใด นี้เรียกว่า อสัมปชัญญตา ความเป็นผู้ไม่มีสัมปชัญญะ มหิจฉตา ความมักมาก เป็นไฉน ความอยากได้มากยิ่งของบุคคลผู้ไม่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนา- *สนะ คิลานปัจจยเภสัช และบริขาร ตามมีตามได้หรือด้วยกามคุณ ๕ ความ ปรารถนา การปรารถนา ความมักมาก ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิต อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า มหิจฉตา ความ มักมาก [๙๕๔] อหิริกะ ความไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริต เป็นไฉน ความไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่ควรละอาย ความไม่ ละอายต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย อันใด นี้เรียกว่า อหิริกะ ความ ไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริต อโนตตัปปะ ความไม่เกรงกลัวต่อการประพฤติทุจริต เป็นไฉน ความไม่เกรงกลัวต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่ควรเกรงกลัว ความ ไม่เกรงกลัวต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย อันใด นี้เรียกว่า อโนตตัปปะ ความไม่เกรงกลัวต่อการประพฤติทุจริต ปมาทะ ความประมาท เป็นไฉน การปล่อยจิต ความเพิ่มพูน การปล่อยจิตไปในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต หรือในกามคุณ ๕ หรือความทำโดยความไม่เคารพ ความทำโดยไม่ ติดต่อ ความไม่มั่นคง ความประพฤติย่อหย่อน ความทอดทิ้งฉันทะ ความ ทอดทิ้งธุระ ความไม่เสพให้มาก ความไม่ทำให้เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความ ไม่ตั้งมั่น ความไม่ประกอบเนืองๆ ความประมาทในการเจริญกุศลธรรมทั้งหลาย ความประมาท กิริยาที่ประมาท สภาพที่ประมาท อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า ปมาทะ ความประมาท [๙๕๕] อนาทริยะ ความไม่เอื้อเฟื้อ เป็นไฉน ความไม่เอื้อเฟื้อ สภาพที่ไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่เคารพ ความไม่เชื่อฟัง ความไม่ถือเอา กิริยาที่ไม่ถือเอา สภาพที่ไม่ถือเอา ความไม่มีศีล ความไม่ยำเกรง อันใด นี้เรียกว่า อนาทริยะ ความไม่เอื้อเฟื้อ โทวจัสสตา ความเป็นผู้ว่ายาก เป็นไฉน กิริยาที่เป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้ว่ายาก สภาพที่เป็นผู้ว่ายาก ความยึดถือ ข้างขัดขืน ความพอใจทางโต้แย้ง ความไม่เอื้อเฟื้อ สภาพที่ไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่ เคารพ ความไม่เชื่อฟัง ในเมื่อถูกว่ากล่าวโดยสหธรรม นี้เรียกว่า โทวจัสสตา ความเป็นผู้ว่ายาก ปาปมิตตตา ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว เป็นไฉน บุคคลเหล่าใด ไม่มีศรัทธา ทุศีล มีการศึกษาน้อย มีความตระหนี่ มีปัญญาทราม การเสพ การเสพเป็นนิตย์ การเสพด้วยดี การคบ การคบด้วยดี ความภักดี ความจงรักภักดีแก่บุคคลเหล่านั้น ความเป็นผู้โน้มน้าวไปตามบุคคล เหล่านั้น อันใด นี้เรียกว่าปาปมิตตตา ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว [๙๕๖] อัสสัทธิยะ ความไม่มีศรัทธา เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีปัญญา ไม่มีศรัทธา ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ความไม่มีศรัทธา กิริยาที่ไม่เชื่อ กิริยาที่ไม่ปลงใจเชื่อ ความไม่เลื่อมใสยิ่ง อันใด มีลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อัสสัทธิยะ ความ ไม่มีศรัทธา อวทัญญุตา ความเป็นผู้ไม่รู้ถ้อยคำด้วยอำนาจความตระหนี่ อันกระด้าง เป็นไฉน มัจฉริยะ ความตระหนี่ ๕ คือ อาวาสมัจฉริยะ ความตระหนี่ที่อยู่ กุลมัจฉริยะ ความตระหนี่ตระกุล ลาภมัจฉริยะ ความตระหนี่ลาภ วัณณมัจฉริยะ ความตระหนี่วรรณะ ธัมมมัจฉริยะ ความตระหนี่ธรรม ความตระหนี่ กิริยาที่ ตระหนี่ สภาพที่ตระหนี่ ความหวงแหน ความเหนียวแน่น ความปกปิด ความ ไม่เอาใจใส่ อันใด ลักษณะเช่นว่านี้ นี้เรียกว่า อวทัญญุตา ความเป็นผู้ไม่รู้ ถ้อยคำด้วยอำนาจความตระหนี่อันกระด้าง โกสัชชะ ความเกียจคร้าน เป็นไฉน การปล่อยจิต ความเพิ่มพูนการปล่อยจิตไปในกายทุจริต วจีทุจริต มโน- *ทุจริต หรือในกามคุณ ๕ หรือความทำโดยความไม่เคารพ ความไม่ทำโดยติดต่อ ความไม่ทำให้มั่นคง ความประพฤติย่อหย่อน ความทอดทิ้งฉันทะ ความทอดทิ้งธุระ ความไม่เสพให้มาก ความไม่ทำให้เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความไม่ตั้งมั่น ความไม่ประกอบเนืองๆ ความประมาท ในการเจริญกุศลธรรมทั้งหลาย นี้เรียกว่า โกสัชชะ ความเกียจคร้าน [๙๕๗] อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน เป็นไฉน ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความกวัดแกว่งแห่งจิต ความ พล่านแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน อสังวร ความไม่สำรวม เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว เป็นผู้ถือนิมิต เป็นผู้ถือ อนุพยัญชนะ บาปอกุศลธรรมทั้งหลาย คือ อภิชฌาและโทมนัส พึงครอบงำ บุคคลนั้น ผู้ไม่สำรวมจักขุนทรีย์อยู่ เพราะการไม่สำรวมจักขุนทรีย์ใดเป็นเหตุ ย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์นั้น ไม่รักษาจักขุนทรีย์นั้น ไม่สำเร็จการสำรวม ในจักขุนทรีย์นั้น ฟังเสียงด้วยโสตะแล้ว ฯลฯ สูดกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ฯลฯ ลิ้มรส ด้วยชิวหาแล้ว ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ฯลฯ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว เป็นผู้ถือนิมิต เป็นผู้ถืออนุพยัญชนะ บาปอกุศลธรรมทั้งหลาย คือ อภิชฌาและ โทมนัส พึงครอบงำบุคคลนั้น ผู้ไม่สำรวมมนินทรีย์อยู่ เพราะการไม่สำรวม มนินทรีย์ใดเป็นเหตุ ย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์นั้น ไม่รักษามนินทรีย์นั้น ไม่สำเร็จการสำรวมในมนินทรีย์นั้น นี้เรียกว่า อสังวร ความไม่สำรวม ทุสสีลยะ ความเป็นผู้ทุศีล เป็นไฉน ความล่วงละเมิดทางกาย ความล่วงละเมิดทางวาจา ความล่วงละเมิดทั้ง ทางกายและวาจา นี้เรียกว่า ทุสสีลยะ ความเป็นผู้ทุศีล [๙๕๘] อริยอทัสสนกัมยตา ความไม่อยากเห็นพระอริยะเจ้า เป็นไฉน บรรดาบทเหล่านั้น พระอริยะเจ้า เป็นไฉน พระพุทธเจ้าและพระสาวก ของพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระอริยะเจ้า ความไม่ต้องการจะพบ ความไม่ต้องการ จะเห็น ความไม่ต้องการจะเข้าใกล้ ความไม่ต้องการจะสมาคมกับพระอริยะเจ้า เหล่านี้ อันใด นี้เรียกว่า อริยอทัสสนกัมยตา ความไม่อยากเห็นพระอริยะเจ้า สัทธัมมอโสตุกัมยตา ความไม่อยากฟังพระสัทธรรม เป็นไฉน บรรดาบทเหล่านั้น พระสัทธรรม เป็นไฉน สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เรียกว่า พระสัทธรรม ความไม่ต้องการจะฟัง ความไม่ต้องการจะสดับ ความไม่ต้องการจะ เรียน ความไม่ต้องการจะทรงจำซึ่งพระสัทธรรมนี้ อันใด นี้เรียกว่า สัทธัมม- *อโสตุกัมยตา ความไม่อยากฟังพระสัทธรรม อุปารัมภจิตตตา ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดี เป็นไฉน บรรดาบทเหล่านั้น ความคิดแข่งดี เป็นไฉน ความคิดแข่งดี ความคิด แข่งดีเนืองๆ กิริยาที่คิดแข่งดี กิริยาที่คิดแข่งดีเนืองๆ สภาพที่คิดแข่งดีเนืองๆ ความดูถูก ความดูหมิ่น ความดูแคลน ความคอยแสวงหาโทษ อันใด นี้เรียกว่า อุปารัมภจิตตตา ความเป็นผู้มีจิตคิดแข่งดี [๙๕๙] มุฏฐสัจจะ ความเป็นผู้ไม่มีสติ เป็นไฉน ความระลึกไม่ได้ ความตามระลึกไม่ได้ ความหวนระลึกไม่ได้ ความ ระลึกไม่ได้ สภาพที่ระลึกไม่ได้ ความทรงจำไม่ได้ ความเลื่อนลอย ความหลงลืม อันใด นี้เรียกว่า มุฏฐสัจจะ ความเป็นผู้ไม่มีสติ อสัมปชัญญะ ความเป็นผู้ไม่มีสัมปชัญญะ เป็นไฉน ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือ โมหะ อันใด นี้เรียกว่า อสัมปชัญญะ ความเป็นผู้ไม่มีสัมปชัญญะ เจตโสวิกเขปะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต เป็นไฉน ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความกวัดแกว่งแห่งจิต ความ พล่านแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า เจตโสวิกเขปะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต [๙๖๐] อโยนิโสมนสิการ ความทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย เป็นไฉน ความทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง ความทำไว้ในใจ โดยไม่แยบคาย ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข ความทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ในสิ่งที่ไม่ใช่อัตตาตัวตนว่าเป็นอัตตาตัวตน ความทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ใน สิ่งที่ไม่งาม ว่างาม หรือความนึก ความนึกเนืองๆ ความคิด ความพิจารณา ความทำไว้ในใจ แห่งจิต โดยผิดจากความจริง นี้เรียกว่า อโยนิโสมนสิการ ความทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย กุมมัคคเสวนา การเสพทางชั่ว เป็นไฉน บรรดาบทเหล่านั้น ทางชั่ว เป็นไฉน มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ นี้เรียกว่า ทางชั่ว การเสพ การเสพเป็นนิตย์ การเสพด้วยดี การคบ การคบด้วยดี การชอบใจ ความชอบใจ ซึ่งทางชั่วนี้ ความเป็นผู้โน้มน้าวไปตามทางชั่วนี้ อันใด นี้เรียกว่า กุมมัคคเสวนา การเสพทางชั่ว เจตโสลีนัตตะ ความย่อหย่อนแห่งจิต เป็นไฉน ความไม่สมประกอบแห่งจิต ความไม่ควรแก่การงานแห่งจิต ความท้อแท้ ความถดถอย ความย่อหย่อน กิริยาที่ย่อหย่อน สภาพที่ย่อหย่อน ความซบเซา กิริยาที่ซบเซา สภาพที่ซบเซาแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า เจตโสลีนัตตะ ความ ย่อหย่อนแห่งจิต

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ บรรทัดที่ ๑๒๓๓๕-๑๒๗๙๒ หน้าที่ ๕๓๑-๕๔๙. https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=35&A=12335&Z=12792&pagebreak=0 https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=35&A=12335&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3], [4], [5], [6]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=35&siri=68              ศึกษาอรรถกถาได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=35&i=926              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=35&A=9879              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=54&A=12602              The Pali Tipitaka in Roman :- https://84000.org/tipitaka/read/roman_read.php?B=35&A=9879              The Pali Atthakatha in Roman :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=54&A=12602              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ https://84000.org/tipitaka/read/?index_35              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/vb17/en/thittila#pts-s908

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึก ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. บันทึกล่าสุด ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]