ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 49 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 50 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 51 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อัตถกามวรรค
๑๐. ทุมเมธชาดก ว่าด้วยคนโง่ถูกบูชายัญเพราะคนอธรรม

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า “ทุมฺเมธานํ” ดังนี้.
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี. พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี แห่งพระราชาพระองค์นั้น. ครั้นประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว พระประยูรญาติได้ขนานพระนามให้ว่า “พรหมทัตกุมาร”. พอมีพระชนม์ ๑๖ พรรษา ก็ได้ทรงศึกษาศิลปะในเมืองตักกสิลา ทรงเจนจบไตรเพท และทรงสำเร็จศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ. ต่อมาพระราชบิดาทรงพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระองค์.
               ในครั้งนั้น ประชาชนในกรุงพาราณสี นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ พากันนอบนบเทวดา ฆ่าแพะ แกะ ไก่และหมูเป็นต้นมากมาย กระทำการบวงสรวง ด้วยดอกไม้และของหอมนานาชนิด และด้วยเนื้อและโลหิต. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า บัดนี้ ประชาราษฎร์นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ พากันฆ่าสัตว์ มหาชนฝังใจในอธรรมถ่ายเดียวโดยมาก เราได้ราชสมบัติ เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว จักไม่ให้สัตว์แม้สักตัวเดียวได้ลำบาก ต้องหาอุบายไม่ให้ใครๆ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้จงได้.
               อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ทรงรถเสด็จออกจากพระนคร ทอดพระเนตรเห็นมหาชนชุมนุมกันที่ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ใครอยากได้สิ่งใดๆ ในบรรดาลูกชาย ลูกหญิง ยศและทรัพย์เป็นต้น ก็พากันบนในสำนักของเทวดาอันสิงอยู่ ณ ต้นไทรนั้น พระองค์จึงเสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินเข้าไปใกล้ต้นไม้ ทรงบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ สรงสนาน กระทำประทักษิณต้นไม้ เหมือนกับพวกที่ถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ บังคมเทวดาแล้ว เสด็จขึ้นทรงรถกลับเข้าพระนคร.
               ตั้งแต่นั้นมา ก็เสด็จไปที่ต้นไม้นั้น ทุกๆ ขณะเวลาที่ว่าง ทรงทำการบูชา เหมือนเป็นผู้นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ ดังพรรณนามาแล้วนั่นแล.
               โดยสมัยต่อมา พระราชบิดาสวรรคต พระองค์ก็ได้เสวยราชย์ ทรงเว้นอคติ ๔ ประการ ทรงประพฤติทศพิธราชธรรมเคร่งครัด ดำรงราชโดยธรรม ทรงพระดำริว่า มโนรถของเราถึงที่สุดแล้ว เราดำรงในราชสมบัติแล้ว. แต่ข้อหนึ่งที่เราคิดไว้ครั้งก่อนนั้น ก็จะต้องให้ถึงที่สุด ในบัดนี้ พลางมีพระราชกระแสเรียกพวกอำมาตย์และประชาชน มีพราหมณ์ คฤหบดีเป็นต้น มาประชุมกัน ตรัสประกาศว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านทราบกันไหมว่า เหตุใดเราจึงได้ราชสมบัติ?
               ประชาชนพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเกล้าฯ พระเจ้าข้า.
               รับสั่งถามว่า เมื่อเราบูชาต้นไทรต้นโน้นด้วยของหอมเป็นต้น ประคองกระพุ่มมือนบไหว้อยู่ พวกท่านเคยเห็นหรือไม่เล่า?
               ขอเดชะ เคยเห็น พระเจ้าข้า.
               พระองค์มีพระราชดำรัสต่อไปว่า ในครั้งนั้น เราตั้งความปรารถนาไว้ว่า ถ้าได้ราชสมบัติ จักกระทำพลีกรรม เราได้ราชสมบัตินี้ด้วยอานุภาพของเทวดานั้น บัดนี้ เราจักกระทำพลีกรรมแก่ท้าวเธอ พวกท่านอย่าชักช้าเลย พากันเตรียมพลีกรรมแก่เทวดา เป็นการเร็วเถิด.
               พวกอำมาตย์เป็นต้นทูลถามว่า ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจักจัดสิ่งใดเล่า พระเจ้าข้า?
               รับสั่งว่า ท่านทั้งหลาย เมื่อเราบนเทวดา เราได้อ้อนวอนไว้ว่า ข้าพเจ้าจักฆ่าหมู่คนที่พากันประพฤติยึดถือกรรมแห่งคนทุศีล ๕ ประการมีฆ่าสัตว์เป็นต้น และที่พากันประพฤติยึดถืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ในรัชกาลของข้าพเจ้า แล้วจักทำพลีกรรมด้วยลำไส้และเลือดเนื้อของคนเหล่านั้น เพราะฉะนั้น พวกท่านจงตีฆ้องประกาศไปว่า พระราชาของพวกเรา ครั้งดำรงพระยศเป็นอุปราชอยู่นั่นแล ทรงบนเทวดาไว้อย่างนี้ว่า ถ้าทรงครองราชสมบัติ จักให้ฆ่าคนที่ปรากฏว่า ทุศีลในรัชกาลให้หมด แล้วกระทำพลีกรรม บัดนี้ พระองค์มีพระราชประสงค์จะให้ฆ่าคนที่ประพฤติ ยึดถือกรรมของคนทุศีล ๕ ประการ ซึ่งเป็นคนทุศีลประมาณพันคน แล้วให้เอาเครื่องในมีหัวใจเป็นต้นของคนเหล่านั้น ไปทรงกระทำพลีกรรมแก่เทวดา ชาวพระนครทั้งหลายจงรู้ไว้อย่างนี้เถิด.
               ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงประกาศพระราชประสงค์ว่า
               คราวนี้นับแต่บัดนี้ไป เราจักต้องฆ่าคนที่ประพฤติกรรมของคนทุศีลให้ถึงพันคน บูชายัญจึงจักพ้นจากการบน.
               ได้ตรัสพระคาถานี้ ว่า :-
               “ เราเข้าไปบนไว้ ถึงการบูชายัญ ด้วยคนโง่ๆ พันคน บัดนี้เล่า เราจักต้องบูชายัญละ คนที่ประพฤติอธรรม มีมากนัก ” ดังนี้.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุมฺเมธานํ สหสฺเสน ความว่า บุคคลชื่อว่า มีปัญญาทราม เพราะไม่รู้เลยว่า กรรมนี้ควรทำ กรรมนี้ไม่ควรทำ ก็หรือชื่อว่าโง่ เพราะประพฤติยึดถือในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ด้วยคนเขลาที่โง่เง่า ไร้ปัญญาเหล่านั้น นับให้ได้พันคน.
               บทว่า ยญฺโญ เม อุปยาจิโต ความว่า เราได้เข้าไปหาเทวดา บนไว้ถึงการบูชายัญ ว่า จักบูชายัญอย่างนี้.
               บทว่า อิทานิ โขหํ ยชิสฺสามิ ความว่า เรานั้นจักบูชายัญ ในบัดนี้ เพราะได้ครองราชสมบัติด้วยการบนนี้.
               เพราะเหตุไร? เพราะเดี๋ยวนี้ คนที่ประพฤติอธรรมมีมากนัก เพราะฉะนั้น ต้องจับเขาไปทำพลีกรรมเสียเดี๋ยวนี้ทีเดียว.
               พวกอำมาตย์ฟังพระดำรัสของพระโพธิสัตว์แล้ว ก็รับพระบรมราชโองการว่า ชอบด้วยเกล้าฯ พระเจ้าข้า. แล้วเที่ยวตีกลองป่าวประกาศ ไปทั่วเมืองพาราณสี อันมีปริมณฑล ๑๒โยชน์.
               ชาวประชาทั่วไปฟังอาญาจากการตีกลองป่าวประกาศแล้ว จะหาคนที่ยึดถือทุศีลกรรมแม้เพียงข้อเดียว สักคนหนึ่งก็ไม่ได้. ด้วยกุสโลบายอันแนบเนียนนี้ ตลอดเวลาที่พระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติอยู่ บุคคลที่กระทำกรรมในบรรดาทุศีลกรรม ๕ ประการหรือ ๑๐ ประการ แม้เพียงข้อเดียว ก็ไม่ปรากฏเลย.
               พระโพธิสัตว์มิได้ทรงให้บุคคล แม้เพียงคนเดียวลำบาก โปรดชาวแว่นแคว้นทั่วหน้าให้รักษาศีล. แม้พระองค์เองก็ทรงบำเพ็ญบุญ มีการให้ทานเป็นต้น ในเวลาสิ้นพระชนม์ ก็ทรงพาบริษัทของพระองค์ไปแน่นเทวนคร ด้วยประการฉะนี้.
               แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่โลก แม้ในกาลก่อนก็ประพฤติแล้วเหมือนกัน.
               ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดก ว่า
               บริษัทในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธบริษัท ในบัดนี้
               ส่วนพระเจ้ากรุงพาราณสีได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบอรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๑๐               
               จบ อัตถกามวรรคที่ ๕.               
               จบ ปฐมปัณณาสก์.               
               -----------------------------------------------------               
               รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
                         ๑. โลสกชาดก ว่าด้วย คนที่ต้องเศร้าโศก
                         ๒. กโปตกชาดก ว่าด้วย คนที่ต้องฉิบหาย
                         ๓. เวฬุกชาดก ว่าด้วย คนที่นอนตาย
                         ๔. มกสชาดก ว่าด้วย มีศัตรูผู้มีปัญญาดีกว่ามีมิตรโง่
                         ๕. โรหิณีชาดก ว่าด้วย ผู้อนุเคราะห์ที่โง่เขลาไม่ดี
                         ๖. อารามทูสกชาดก ว่าด้วย ฉลาดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ไม่มีความสุข
                         ๗. วารุณิทูสกชาดก ว่าด้วย ผู้มีปัญญาทรามทำให้เสียประโยชน์
                         ๘. เวทัพพชาดก ว่าด้วย ผู้ปรารถนาประโยชน์โดยไม่แยบคายย่อมเดือดร้อน
                         ๙. นักขัตตชาดก ว่าด้วย ประโยชน์คือฤกษ์
                         ๑๐. ทุมเมธชาดก ว่าด้วย คนโง่ถูกบูชายัญเพราะคนอธรรม

               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อัตถกามวรรค ๑๐. ทุมเมธชาดก ว่าด้วยคนโง่ถูกบูชายัญเพราะคนอธรรม จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 49 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 50 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 51 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=328&Z=341
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=36&A=723
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=36&A=723
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๘  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :