บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ตอบว่า อัตถุปปัตติกะ (มีเรื่องเกิดขึ้น) เล่ากันมาว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า ดู ลำดับนั้น พระศาสดาเสด็จไปยังธรรมสภาประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาจัดไว้ ได้สดับถ้อยคำนั้น เมื่อจะทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้มีจิตเศร้าหมองในเวลาใกล้ตาย ทุคติเป็นอันหวังได้ ดังนี้ จึงทรงแสดงพระสูตรนี้ ด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า อิธ เป็นนิบาตในการชี้ถึงที่อยู่ ท่านกล่าวอิธนิบาตนี้ในที่บางแห่งหมายถึงที่อยู่ ในบทเป็นต้นว่า๑- อิเธว ติฏฺฐมานสฺส เทวภูตสฺส เม สโต แปลว่า เมื่อเราเป็นเทพสถิตอยู่ ณ เทวโลกนี้แล. ในที่บางแห่งหมายถึงศาสนา ในบทมีอาทิว่า๒- อิเธว ภิกฺขเว สมโณ อิธ ทุติโย สมโณ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่สองมีในศาสนานี้. ในที่บางแห่งเป็นเพียงบทบูรณ์ ในบทมีอาทิว่า๓- อิธาหํ ภิกฺขเว ภุตฺตาวี อสฺสํ ปวาริโต แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอันทายกขอร้องแล้วพึงฉัน. ในที่บางแห่งกล่าวหมายถึงโลก ในบทมีอาทิว่า๔- อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ แปลว่า พระตถาคตอุบัติขึ้นในโลกนี้. พึงเห็นว่าในสูตรนี้หมายถึงในโลกแม้นี้เท่านั้น. ____________________________ ๑- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๖๔ ๒- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๕๔ องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๒๔๑ ๓- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๒ ๔- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๐๐ บทว่า เอกจฺจํ ได้แก่ คนหนึ่ง คือคนใดคนหนึ่ง. บทว่า ปุคฺคลํ ได้แก่ สัตว์. จริงอยู่ สัตว์นั้นท่านเรียกว่าบุคคล เพราะยังกุศลอกุศล และวิบากของกุศลอกุศลนั้นให้บริบูรณ์ตามปัจจัย และเพราะอำนาจความตายกลืนกิน. บทว่า ปทุฏฺฐจิตฺตํ ได้แก่ มีจิตขุ่นมัวด้วยความประทุษร้าย ด้วยความอาฆาต. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปทุฏฺฐจิตฺตํ ได้แก่ มีจิตขุ่นมัวด้วยราคะเป็นต้นอันเป็นโทษ. อนึ่ง บทว่า เอกจฺจํ ในที่นี้ นี้เป็นวิเสสนะของบุคคลผู้มีจิตขุ่นมัว ท่านกล่าวอย่างนั้นถึงบุคคลผู้ให้ปฏิสนธิได้ทำเหตุขึ้น. อนึ่ง เพราะอกุศลยังเป็นไปอยู่ ผู้ใกล้จะตายไม่สามารถจะกลับจิตให้หยั่งลงด้วยกุศลได้. ท่านแสดงอาการที่ควรกล่าวในบัดนี้ ด้วยบทว่า เอวํ ดังนี้ บทว่า เจตสา ได้แก่ ด้วยจิต คือด้วยเจโตปริยญาณ (การกำหนดรู้จิต) ของตน บทว่า เจโต ได้แก่ จิตของบุคคลนั้น. บทว่า ปริจฺจ คือ กำหนดรู้. ถามว่า นี้เป็นวิสัยของยถากัมมูปคญาณ (การรู้ว่าสัตว์เป็นไปตามกรรม) มิใช่หรือ. ตอบว่า ข้อนั้นเป็นความจริง แต่ข้อนี้ท่านกล่าวด้วยอำนาจอกุศลจิตอันเป็นไปในกาลนั้น. บทว่า อิมมฺหิ จายํ สมเย ความว่า หากในกาลนี้หรือในปัจจยสามัคคีนี้ บุคคลนี้พึงทำกาละในภายหลังชวนวิถี (วิถีจิตที่แล่นไป) การทำกาละย่อมไม่มีในขณะแห่งชวนจิต. บทว่า ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเย ความว่า เขาถูกกรรมของตนซัดไป คือตั้งไว้ในนรก เหมือนถูกนำอะไรๆ มาทิ้งลงฉะนั้น. บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่ ทิ้งขันธ์อันมีใจครองเสีย. บทว่า ปรมฺมรณา ได้แก่ ในการไม่ยึดถือขันธ์ อันเกิดในระหว่างนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่ เพราะตัดขาดชีวิตินทรีย์. บทว่า ปรมฺมรณา ได้แก่ เบื้องหน้าแต่จุติจิต (จิตที่เคลื่อนไป) บทว่า อปายํ เป็นต้น ทั้งหมดเป็นไวพจน์ของนรกนั่นเอง. จริงอยู่ นรกชื่อว่าอบาย เพราะปราศจากความสุข กล่าวคือความเจริญ. อีกอย่างหนึ่ง นรกชื่อว่าอบาย เพราะปราศจากความเจริญ อันถือว่าเป็นบุญซึ่งเป็นเหตุแห่งสวรรค์และนิพพาน. นรกชื่อว่าทุคติ เพราะเป็นที่ไป คือเป็นที่อาศัยของทุกข์. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าทุคติ เพราะเป็นที่ที่สัตว์ทั้งหลายผู้มากด้วยโทสะ ไปเกิดด้วยกรรมชั่ว. นรกชื่อว่าวินิบาต เพราะเป็นที่ที่สัตว์หมดอำนาจทำกรรมชั่วตกไป หรือเป็นที่ที่สัตว์พินาศมีอวัยวะน้อยใหญ่ย่อยยับตกไป. ชื่อว่านรก เพราะอรรถว่าหมดความยินดี เพราะความเจริญที่รู้กันว่าเป็นความยินดีมิได้มีในนรกนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ติรัจฉานโยนิ (กำเนิดเดียรัจฉาน) ด้วยอปายศัพท์. อนึ่ง ติรัจฉานโยนิเป็นอบาย เพราะปราศจากสุคติ นาคราชเป็นต้นผู้มีศักดิ์ใหญ่เกิดหาใช่ทุคติไม่ ชื่อปิตติวิสัยด้วยทุคติศัพท์. จริงอยู่ ปิตติวิสัยนั้น เป็นทั้งอบาย เป็นทั้งทุคติ เพราะปราศจากสุคติ และเป็นคติของทุกข์ ไม่ใช่วินิบาต เพราะไม่ตกลงเช่นกับอสูร ชื่ออสุรกาย ด้วยวินิปาตศัพท์ ก็อสุรกายนั้นเป็นทั้งอบาย เป็นทั้งทุคติ เพราะอรรถตามที่กล่าวแล้ว. ท่านเรียกว่าวินิบาต เพราะตกไปทั้งร่างกาย. ท่านกล่าวนรกมีประการมากมาย มีอเวจีเป็นต้นด้วยนรกศัพท์. แต่ในที่นี้ ท่านกล่าวถึงนรกอย่างเดียวแม้ด้วยทุกๆ บท. บทว่า อุปฺปชฺชนฺติ ได้แก่ ถือเอาปฏิสนธิ. คาถาที่หนึ่งในคาถาทั้งหลาย พระธรรมสังคาหกเถระได้จัดไว้แล้วในสังคีติกาล (เวลาทำสังคายนา). บทว่า ญตฺวาน เป็นบุพพกาลกิริยา. จริงอยู่ ญาณก่อนเป็นพยากรณ์ อีกอย่างหนึ่ง ญตฺวาศัพท์ มีเนื้อความเป็นเหตุ เหมือนประโยคว่า สีหํ ทิสฺวา ภยํ โหติ ภัยย่อมมีเพราะเห็นสีหะ ดังนี้. อธิบายว่า เพราะความรู้เป็นเหตุ บทว่า พุทฺโธ ภิกฺขูน สนฺติเก ความว่า พระพุทธเจ้าผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์เนื้อความที่พระองค์ตรัสด้วยสองคาถาเบื้องต้นนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายในสำนักของพระองค์. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. จบอรรถกถาปุคคลสูตรที่ ๑๐ จบอรรถกถาทุติยวรรคที่ ๒ ----------------------------------------------------- ๑. โมหสูตร ๒. โกธสูตร ๓. มักขสูตร ๔. โมหสูตร ๕. กามสูตร ๖. เสขสูตรที่ ๑ ๗. เสขสูตรที่ ๒ ๘. เภทสูตร ๙. โมทสูตร ๑๐. ปุคคลสูตร ฯ .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เอกนิบาต ทุติยวรรค ปุคคลสูตร จบ. |