![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | ||||||||||||||||
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หน้าต่างที่ ๔ / ๑๐. ข้อความเบื้องต้น ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ" เป็นต้น. มารดาของพระกุมารกัสสปบวช ครั้นต่อมาไม่นานนัก สัตว์เกิดในครรภ์ ตั้งขึ้นแล้วในท้องของนาง. แต่นางไม่ทราบความที่ครรภ์นั้นตั้งขึ้นเลย ยังสามีให้ยินดีแล้ว จึงขอบรรพชา. ครั้งนั้น สามีนำนางไปสู่สำนักของนางภิกษุณี ด้วยสักการะใหญ่ ไม่ทราบอยู่ ให้บวชในสำนักของนางภิกษุณีที่เป็นฝักฝ่ายแห่งพระเทวทัตแล้ว. โดยสมัยอื่น นางถูกนางภิกษุณีเหล่านั้น ทราบความที่นางมีครรภ์แล้ว ถามว่า "นี่อะไรกัน?" จึงตอบว่า "แม่เจ้า ดิฉันไม่ทราบว่า นี่เป็นอย่างไร? แต่ศีลของดิฉันไม่ด่างพร้อยเลย." พวกนางภิกษุณีนำนางไปสู่สำนักของพระเทวทัตแล้ว ถามว่า "นางภิกษุณีนี้บวชด้วยศรัทธา, พวกดิฉันไม่ทราบกาลแห่งครรภ์ของนางนี้ตั้งขึ้น บัดนี้ พวกดิฉันจะทำอย่างไร?" พระเทวทัตคิดเหตุเพียงเท่านี้ว่า "ความเสียชื่อเสียง จงอย่าเกิดขึ้นแก่พวกนางภิกษุณีผู้ทำตามโอวาทของเรา" จึงกล่าวว่า "พวกเธอจงให้นางนั้นสึกเสีย." นางภิกษุณีสาวนั้นฟังคำนั้นแล้ว กล่าวว่า "แม่เจ้า ขอแม่เจ้าทั้งหลาย อย่าให้ดิฉันฉิบหายเสียเลย, ดิฉันมิได้บวชเจาะจงพระเทวทัต, แม่เจ้าทั้งหลาย จงมาเถิด จงนำดิฉันไปสู่พระเชตวัน ซึ่งเป็นสำนักของพระศาสดา." นางภิกษุณีเหล่านั้นพานางไปสู่พระเชตวัน กราบทูลแด่พระศาสดาแล้ว. พระกุมารกัสสปเกิด พระเถระให้เชิญนางวิสาขามา ตรงพระพักตร์พระราชาแล้ว ให้สอบสวนอธิกรณ์นั้น. นางวิสาขานั้นให้คนล้อมเครื่องล้อมคือม่าน ตรวจดูมือ เท้า สะดือ และที่สุดแห่งท้องของนางภิกษุณีนั้น ภายในม่าน แล้วนับเดือนและวันดู ทราบว่า "นางได้มี ครั้งนั้น พระเถระยังความที่นางเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้กลับตั้งขึ้นในท่ามกลางบริษัทแล้ว. โดยสมัยอื่น นางคลอดบุตรมีอานุภาพมาก ซึ่งมีความปรารถนาตั้งไว้ แทบบาทมูลของพระ มีกุมารนำหน้าเพราะพระราชาทรงเลี้ยง ก็ในวันตั้งชื่อ ชนทั้งหลายตั้งชื่อกุมารนั้นว่า "กัสสป" เพราะความที่กุมารนั้นเป็นผู้อันพระราชาทรงให้เจริญแล้ว ด้วยเครื่องบริหารของพระกุมาร จึงรู้กันว่า "กุมารกัสสป." กุมารนั้นทุบตีเด็กในสนามกีฬาแล้ว เมื่อพวกเด็กกล่าวว่า "พวกเราถูกคนไม่มีแม่ไม่มีพ่อทุบตีแล้ว." จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นสมมติเทพ พวกเด็กย่อมว่าหม่อมฉันว่า ไม่มีมารดาและบิดา ขอพระองค์จง เมื่อพระราชาทรงแสดงหญิงแม่นมทั้งหลาย ตรัสว่า "หญิงเหล่านี้เป็นมารดาของเจ้า." จึงกราบทูลว่า "มารดาของหม่อมฉันไม่มีเท่านี้ อันมารดาของหม่อมฉันพึงมีคนเดียว ขอพระองค์ตรัสบอกมารดานั้นแก่ กุมารกัสสปออกบวชบรรลุพระอรหัต กุมารกัสสปนั้นได้อุปสมบทแล้วปรากฏว่า "พระกุมารกัสสปเถระ." ท่านเรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดา เข้าไปสู่ป่าพยายามแล้ว ไม่สามารถจะให้คุณวิเศษบังเกิดได้ จึงคิดว่า "เราจะเรียนกัมมัฏฐานให้วิเศษอีก" มาสู่สำนักของพระศาสดา อยู่ในป่าอันธวันแล้ว, ครั้งนั้น ภิกษุผู้ทำสมณธรรมร่วมกัน ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า บรรลุอนาคามิผลแล้ว บังเกิดในพรหมโลก มาจากพรหมโลกถามปัญหา ๑๕ ข้อกะพระกุมารกัสสปนั้นแล้ว ส่งไปด้วยคำว่า "คนอื่นยกพระศาสดาเสีย ที่สามารถเพื่อจะพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ไม่มี. ท่านจงไป จงเรียนเนื้อความของปัญหาเหล่านี้ในสำนักของพระศาสดาเถิด." ท่านทำเหมือนอย่างนั้น บรรลุพระอรหัตผล ในเวลาที่พระ มารดาพระกุมารกัสสปบรรลุพระอรหัต พระเถระคิดว่า "ถ้ามารดานี้จักได้ถ้อยคำอันไพเราะจากสำนักของเรา นางจักฉิบหายเสีย เราจักเจรจากับมารดานี้ ทำให้กระด้างเทียว." ทีนั้น พระเถระกล่าวกะนางภิกษุณีผู้เป็นมารดานั้นว่า "ท่านเที่ยวทำอะไรอยู่? จึงไม่อาจตัดแม้มาตรว่าความรักได้" นางคิดว่า "โอ ถ้อยคำของพระเถระหยาบคาย" จึงกล่าวว่า "พ่อ พ่อพูดอะไร?" ถูกพระเถระว่าเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละอีก จึงคิดว่า "เราไม่อาจอดกลั้นน้ำตาไว้ได้สิ้น ๑๒ ปี เพราะเหตุแห่งบุตรนี้ แต่บุตรของเรานี้ มีหัวใจกระด้าง ประโยชน์อะไรของเราด้วยบุตรนี้" ตัดความเสน่หาในบุตรแล้ว บรรลุพระอรหัตผลในวันนั้นนั่นเอง. พวกภิกษุพากันสรรเสริญพระพุทธคุณ "ผู้มีอายุทั้งหลาย พระกุมารกัสสปและพระเถรี ผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัยอย่างนี้ ถูกพระเทวทัตให้ฉิบหายแล้ว ส่วนพระศาสดาเกิดเป็นที่พึ่งของท่านทั้งสองนั้น, โอ! น่าอัศจรรย์ ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมเป็นผู้อนุเคราะห์โลก." พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "ด้วยเรื่องชื่อนี้" จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นปัจจัย เป็นที่พำนักของคนทั้งสองนี้ ในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ แม้ในกาลก่อน เราก็ได้เป็นที่พำนักของคนทั้งสองนั้นเหมือนกัน" ดังนี้แล้ว จึงตรัสนิโครธชาดก๑- นี้โดยพิสดารว่า :- เจ้าหรือคนอื่น พึงคบเนื้อชื่อว่านิโครธผู้เดียว อย่าเข้าไปคบเนื้อชื่อว่าสาขะ; ความตายในสำนักของ เนื้อชื่อว่านิโครธประเสริฐกว่า, ความเป็นอยู่ในสำนัก ของเนื้อชื่อว่าสาขะนั้นจะประเสริฐอะไร. ทรงประชุมชาดกว่า เนื้อชื่อว่าสาขะในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต (ในบัดนี้), แม้บริษัทของเนื้อชื่อว่าสาขะนั้น (ก็) เป็นบริษัทของพระเทวทัตนั่นแหละ, แม่เนื้อตัวถึงวาระได้เป็นพระเถรี, บุตรได้เป็นกุมารกัสสป, ส่วนพระยาเนื้อนามว่านิโครธ ผู้ไปสละชีวิตแก่แม่เนื้อตัวมีครรภ์ คือเราเอง. ____________________________ ๑- ขุ. ชา. เอก. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๒; อรรถกถา ขุ. ชา. เอก. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๒. เมื่อจะทรงประกาศความที่พระเถรีตัดความรักในบุตรแล้ว ทำที่พึ่งแก่ตนเองแล จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เพราะบุคคลอาศัยคนอื่น ไม่สามารถเพื่อจะมีสวรรค์หรือมรรคเป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้ ฉะนั้น ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นจะทำอะไรได้" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
แก้อรรถ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้ไว้ว่า "บุคคลตั้งอยู่ในตน คือสมบูรณ์แล้วด้วยตน สามารถจะทำกุศลแล้วถึงสวรรค์ หรือเพื่อยังมรรคให้เจริญ หรือทำให้แจ้งซึ่งผลได้ เพราะเหตุนั้นแหละ ตนแลพึงเป็นที่พึ่งของตน. คนอื่นใครเล่า? พึงเป็นที่พึ่งของใครได้ เพราะบุคคลมีตนฝึกดีแล้ว คือมีความเสพผิดออกแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งซึ่งบุคคลได้โดยยาก กล่าวคือพระอรหัตผล." ก็คำว่า "นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ" นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาพระอรหัต. ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท อัตตวรรคที่ ๑๒ |